063 - ถึงเมืองหลวงแล้วล่ะค่ะ
ในที่สุด พวกเราก็เดินทางมาถึงเมืองหลวงแล้วล่ะ
ไม่สิ จะพูดให้ถูกแล้ว ต้องเป็นแค่กำแพงเมืองด้านนอกสินะ ก็แถวเข้าประตูเมืองมันยาวเหลือขนาด นี่ก็รออยู่ในแถวเป็นชั่วโมงแล้วด้วยล่ะค่ะ
พวกเราเดินทางบนถนนหลวงที่ข้างทางขนาบไปด้วยทุ่งข้าวสาลีกว้างสุดลูกตากับหน้าผาเตี้ยๆ จนมาถึงจุดที่สามารถมองเห็นเมืองหลวงได้ไกลๆ สิ่งที่เข้ามาในคลองจักษุนั้นเป็นเมืองป้อมปราการขนาดใหญ่มีปราสาทตั้งอยู่เป็นศูนย์กลาง
สิ่งแรกที่ทำให้ตกใจก็คือกำแพงขนาดมหึมา
แต่สิ่งที่ทำให้ตกใจได้มากกว่าขนาดของกำแพงก็คือ จำนวน เพราะว่าเมืองหลวงมีกำแพงหลายต่อหลานชั้นก่อไล่ระดับเป็นวงเหมือนหัวหอมใหญ่อยู่รอบจุดศูนย์กลางของเมืองที่เป็นเนินเขา และดูเหมือนว่ากำแพงที่ก่อเป็นชั้นๆ นั้นจะเป็นตัวแบ่งชนชั้นทางสังคมของเมืองนี้ด้วย
กำแพงชั้นแรกด้านในสุดเป็นกำแพงที่ล้อมรอบปราสาทวังหลวง พื้นที่ภายนอกกำแพงนั้นจะเป็นพื้นที่อยู่อาศัยของชนชั้นสูงระดับบนและ ผู้คนที่เกี่ยวข้องกับเชื้อพระวงศ์ เรียกว่า พื้นที่ชั้นที่หนึ่ง กำแพงชั้นถัดออกมาที่ล้อมพื้นที่ชั้นที่หนึ่งถูกเรียกว่า กำแพงชั้นที่สอง กำแพงชั้นที่สองนั้นมีการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดมาก และจะไม่อนุญาติให้ผ่านเด็ดขาดหากไม่มีใบผ่านทาง หรือจดหมายแนะนำตัว
พื้นที่ถัดออกมาก็จะเป็นพื้นที่อยู่อาศัย และร้านค้าหรูหราของบรรดาชนชั้นสูงระดับล่างกับพ่อค้าผู้มั่งคั่ง เรียกว่า พื้นที่ชั้นที่สอง ซึ่งบ้านพ่อแม่ของคุณลิลลี่ก็อยู่ที่นี่ล่ะ
ที่ทำการกิลด์ทั้งหลายแหล่ก็อยู่ชั้นนี้ วันต่อมา ฉันแอบเข้าไปเหล่ดูลาดเลาที่กิลด์นักผจญภัยมานิดหน่อย ผู้คนที่นี่แลดูน่าเกรงขามกันชะมัด พูดตรงๆ เลยนะ นี่ก็แอบกลัวนิดหน่อยเหมือนกัน ทำไมทุกคนแลดูน่ากลัวขนาดนั้นอ่ะ
ส่วนด้านนอกของกำแพงชั้นที่สามที่ล้อมรอบพื้นที่ของผู้มีอันจะกินก็คือ พื้นที่ของสามัญชน พื้นที่ชั้นที่สาม นั่นเอง เป็นพื้นที่ที่มีอาณาบริเวณมากที่สุด
บรรดาร้านรวงก็อยู่ในชั้นนี้แหละ ราคาก็สมเหตุสมผล ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ การผ่านออกจากพื้นที่ชั้นที่สองออกมาพื้นที่ในชั้นนี้ก็ไม่มีการหวงห้ามใดๆ เป็นพิเศษ ซึ่งไม่แปลกอะไร ก็เพราะว่ากิลด์ตั้งอยู่ในพื้นที่ชั้นที่สองนี่เนอะ
เพิ่มเติมก็คือ มีสาขาย่อยของบรรดากิลด์ทั้งหลายตั้งอยู่ในพื้นที่ชั้นที่สามนี้ด้วย ก็นั่นแหละ มีนักผจญภัยไม่กี่คนหรอกที่จะไปใช้บริการโรงแรมสุดหรูที่อยู่ในโซนสำหรับผู้มั่งคั่งน่ะ แถมด้วยระยะทาง ทำให้การเดินทางไปที่ทำการใหญ่ของกิลด์เป็นเรื่องยุ่งยาก ทำให้กิลด์ทั้งหลายต่างลงไปเปิดสาขาย่อยที่พื้นที่สำหรับสามัญชนแทน
กำแพงชั้นสุดท้ายก็คือกำแพงที่อยู่นอกสุด เป็นเส้นคั่นระหว่างพื้นที่สำหรับสามัญชนกับโลกภายนอก ผู้คนที่ไม่สามารถเข้ามาอยู่อาศัยภายในได้ก็จะตั้งรกรากอยู่ด้านนอกรอบๆ กำแพง หรือก็คือสลัมนั่นเอง ซึ่งการอาศัยภายนอกกำแพงอาจจะดีกว่าในบางกรณี เพราะการตรวจตราจากทางการน้อยกว่า
เส้นแบ่งชนชั้นนั้น ชัดเจนมาก และตัวฉันในฐานะที่เป็นนักผจญภัย พร้อมๆ กับที่เป็นเด็กกำพร้านั้น เข้าใจในเรื่องนี้ดีทีเดียว โลกยุคกลางนี่มันอยู่ยากจริงๆ
ว่าแต่ เจ้ากำแพงนี่ มันอลังการเสียจนทำให้ทางนี้ได้แต่สงสัยว่าสร้างด้วยวิธีไหนกันน้า一 แต่ในเมื่อโลกนี้มีเวทย์มนต์อยู่ อาจจะทำให้การก่อสร้างง่ายกว่าที่คิดมาก เมื่อเทียบกับยุคกลางในโลกโน้นแล้ว แต่ในเมื่อมันมหึมาได้ขนาดนี้ ยังไงก็ต้องทุ่มเทมากอยู่ดีล่ะนะ
เอ้อ ชื่อของเมืองหลวงก็คือ อัสคาลอน ล่ะ เคยได้ยินชื่อนี้มาจากที่ไหนมาก่อนหรอกเหรอ? อื้ม นั่นสิน้า一...แล้วก็ดูเหมือนว่าชื่อของประเทศนี้ก็คือ อาณาจักรเกลกิอุส1 ถูกสถาปนาเป็นประเทศจากผู้กล้าที่โค่นมังกรร้ายลงได้…...ผู้กล้าคนนั้นเป็นผู้กลับชาติมาเกิดแหงๆ ใช่มะ? พล๊อตน้ำเน่าแบบนี้เจอจนเอียนแล้วอ่ะ
[1 ゲオルギウス]
…...แต่ในเมื่อเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานมนานมาแล้ว เพราะงั้นก็ไม่ใช่ว่าฉันจะได้เจอกับคุณผู้กล้านั่นซักหน่อย เพราะงั้นคงไม่เป็นไรเนอะ?
คุณลิลลี่เล่าเรื่องทั้งหมดนั่นให้ฟัง เพื่อฆ่าเวลาขณะที่กำลังต่อคิวรอผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง แต่ถึงงั้น แถวก็คืบหน้าช้าเอามากๆ
เพิ่มเติมคือ ตอนนี้พวกเรากำลังเดินเท้ากัน ฉันเก็บรถม้าลงไปขณะที่หลบอยู่หลังหน้าผาตอนที่เริ่มเห็นเมืองหลวงอยู่ไกลๆ แล้วก็เดินเท้าเข้ามากัน
แต่ถึงอย่างนั้น พวกเราที่เป็นเด็กผู้หญิงเดินทางมากันสามคนก็เป็นจุดดึงดูดความสนใจอยู่บ้างแล้ว ซึ่งดันมีหมาป่าติดสอยห้อยตามมาซะอีก แถมยังสองตัว หนึ่งในนั้นก็ตัวโคตรใหญ่ เพราะงั้นก็คงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่จะเด่นขนาดนี้
หลังจากที่พวกเราเข้ามาต่อคิว สายตาของรอบข้างต่างก็ก็หันมามอง เสียงเซ็งแซ่ก็พลันเงียบลงอย่างน่าแปลกประหลาด เซ็งเป็ดกับบรรยากาศแบบนี้ชะมัด
แล้วนี่ก็ใกล้เวลามื้อเที่ยงแล้วด้วย ทั้งหิว ทั้งเหนื่อย เค้าไม่อยากยืนรอแล้วอ่ะ
“นี่คนเยอะแบบนี้เป็นปกติเลยเหรอคะเนี่ย? ”
“ใช่ค่ะ นี่คือประตูทิศใต้ ซึ่งเป็นประตูใหญ่ คนเลยแน่นอย่างที่เห็นนี่ล่ะ”
“ด้วยว่ามีตลาดอยู่ทางตะวันตกของเมือง พ่อค้าบางคนเลยเลือกไปทางโน้นแทน แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ค่อยต่างกับทางนี้เท่าไหร่อ่ะน้า~ ”
“ส่วนทางตะวันออกก็จะเป็นย่านงานฝีมือ เพราะงั้นพ่อค้าบางคนที่เน้นเรื่องการค้าขายอาวุธก็จะไปใช้บริการประตูโน้นค่ะ แต่สถานการณ์ก็เหมือนๆ กันนั่นแหละ”
“ส่วนประตูทิศเหนือเก๊าะสำหรับชนชั้นสูงเท่านั้น~”
ถ้าอย่างนั้น ขยายขนาดประตูแล้วก็เพิ่มด่านตรวจ อะไรๆ จะดีกว่านี้มากอ่ะ…...จากที่เห็น แถวยาวไปจนถึงประตูมีแค่สองหรือสามแถวเองมั้งนะ?
“ดูเหมือนว่าเราจะเข้าแถวที่สามสินะคะ……? ”
“แถวแรกสำหรับประชาชนทั่วไป一 ถัดมาเป็นแถวสำหรับพ่อค้า และอีกแถวสำหรับนักผจญภัยค่ะ”
“แถวสำหรับพ่อค้ารอนานมากก~ เพราะว่าต้องตรวจเช็คสินค้าที่จะผ่านด่านด้วยน่ะค่ะ~”
“ส่วนแถวสำหรับสามัญชนก็ยิ่งนานเข้าไปอีก เพราะว่าเป็นแถวที่คนมาต่อคิวมากที่สุด”
“สุดท้ายคือแถวสำหรับนักผจญภัยที่การกลับมาจากการออกไปทำตามคำร้องขอจากกิลด์น่ะ~ เพราะงั้นก็จะเสร็จเร็วมากเลย~”
“แต่ถ้าออกไปทำธุระอะไรนอกเหนือจากงานของกิลด์แล้วล่ะก็ จะถูกหยิบไปอยู่แถวประชาชนทั่วไปค่ะ ซึ่งดันเป็นแถวที่ยาวที่ต้องต่อคิวนานที่สุด…...”
งื้ออ สรุปก็คือ ทุกคนนอกจากนักผจญภัยที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวง ต่างก็ต้องรอนานแบบนี้สินะ
“แต่พวกชนชั้นสูงน่ะ มีประตูทางทิศเหนือเป็นประตูเฉพาะของตัวเองเลย เพราะงั้นเลยเข้าออกได้โดยไม่ต้องรอนานล่ะค่ะ”
อย่างนี้นี่เอง น่าอิจฉาชะมัด แต่ก็นะ..พอเป็นชนชั้นสูงแล้ว มันก็จะมีความยุ่งยากหลายๆ เรื่องพ่วงมาด้วยล่ะนะ
“อภิสิทธิ์ของผู้มีอำนาจสินะ แต่พอมีอำนาจแล้วก็ต้องแบกสิ่งที่ต้องรับผิดชอบหลายๆ เรื่องเอาไว้ด้วย เพราะงั้นก็คงไม่มีเหตุผลอะไร ที่จะไม่ให้สิทธิพิเศษเพื่อชดเชยความลำบากพวกนั้นนี่นะ”
“......คุณเร็นก็เข้าใจเรื่องของชนชั้นสูงด้วยเหรอคะเนี่ย”
“ก็ผู้คนมักจะบ่นโดยไม่สนสี่สนแปด~ ไม่แม้แต่จะฉุกใจคิดเลยซักกะนิดเลยนี่ล่ะน้า~”
แทนที่จะบอกว่าเข้าใจพวกเขา เรียกว่าเข้าใจถึงความความยากลำบาก ในการทำงานหนักผู้คนมากกว่าน่ะ
และขณะที่กำลังคุยกันจนถึงตรงนี้ ในที่สุดก็ถึงคิวของพวกเรา แต่ทว่า……
“เจ้าหมาป่าตัวบักเอ้กนี่มันอะไรวะน่ะ? สัตว์ในอาณัติเหรอ? ของแกเรอะน่ะ? เด็กตัวกระเปี้ยกอย่างแกมีหมาป่าตัวใหญ่ขนาดนี้เป็นสัตว์ในอาณัติเนี่ยนะ? นี่มันเรื่องตลกอะไรวะเนี่ย? ”
อุว๊าา คนน่ารำคาญโผล่มาแล้วหนึ่งหน่วยー ใช้อุปกรณ์เวทย์มนต์เช็คดู ก็รู้ได้โดยทันทีเลยไม่ใช่เรอะไงกันー เพราะงั้นรีบๆ เช็คดูแล้วก็ปล่อยให้พวกฉันผ่านเข้าไปได้แล้วเฟ้ยー
สุดท้ายก็ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองมาได้โดยสวัสดิภาพ แต่เหนื่อยชะมัดเลย
“ก็เข้าใจตาคนนั้นหรอกน้า~ ว่าแค่ทำตามหน้าที่น่ะ แต่ก็~ ”
“คนๆ นั้นปากเสียแบบนั้นตลอดแหละค่ะ สงสัยจริงๆ ว่าเป็นอะไรมากมั้ยเนี่ย….. ”
“เอ๋? ตลอด? เป็นแบบนี้กับทุกคนเลยเหรอคะ? ”
“ใช่แล้วล่ะค่ะ…...”
……...นี่ตั้งใจทำงานจริงๆ รึเปล่าเนี่ย? หรือว่าทำงานจนบ้าไปแล้ว? ไม่อ่ะ...บางทีแค่อาจจะเป็นพวก S1
[1 S : Sadist]
“......ฉันหิวแล้วล่ะ ตรงไปที่บ้านกันเลยดีมั้ยคะ? ”
“นั่นสินะค่ะ เอาไว้ค่อยเดินเล่นวันพรุ่งนี้แทนก็ได้”
ก็ไม่ได้มีอะไรที่ต้องทำเป็นพิเศษนี่นะ เพราะงั้นพวกเราจึงตัดสินใจมุ่งหน้าเดินทางไปที่บ้านของคุณลิลลี่กัน แต่ว่า…….
ใหญ่มาก。 เป็นคฤหาสน์ที่ใหญ่โตอะไรขนาดนี้。 สวนก็กว้างมากด้วย。 อะไรกันเนี่ย?
“อ่ะ ใช่ๆ ฉันลืมบอกไปสินะคะ…...”
…...ครอบครัวของคุณลิลลี่เป็นตระกูลบารอเนสน่ะ งั้นก็ไม่ใช่ชนชั้นสูงเหรอ? บารอเนส เป็นศักดินาที่สามารถสืบทอดต่อๆ กันตามทายาทได้ แต่ว่าโดยตำแหน่งแล้วยังคงเป็นสามัญชนคนธรรมดา คือถ้าจะไล่ลำดับแล้วก็นับว่า เป็นชนชั้นที่สูงที่สุดในบรรดาสามัญชนล่ะมั้ง?
เห็นว่าต้นตระกูลของคุณลิลลี่นั้น ได้รับศักดินานี้เป็นรางวัลจากการทำผลงานในสนามรบได้ดี แล้วในครอบครัวหลายต่อหลายรุ่น ก็ยังมีตำแหน่งในสภาผู้ใช้เวทย์มนต์ประจำวังหลวงอีก ซึ่งดูเหมือนว่าตำแหน่งที่ว่านั่น จะไม่ได้รับมาจากการสืบทอดล่ะ แต่เป็นตำแหน่งที่ทุกคนในตระกูลได้มาจากผลที่ดีเยี่ยมจากการทำงาน ซึ่งดูเหมือนว่าตำแหน่งนี้สามารถหารายได้ได้มากโขอยู่ ไม่เหมือนกับพวกบารอนไร้ประโยชน์ส่วนใหญ่ เรื่องพวกนี้ฉันได้ยินมาจากบรรดาเมดในภายหลังน่ะ ว่าแต่บ้านหลังนี้มันใหญ่เอาจริงๆ นะเนี่ย
นอกจากนั้นก็คือ บ้านของคุณอาริสะก็เป็นบารอเนสล่ะ และบ้านของคุณเธอก็อยู่หลังถัดไปจากบ้านของคุณลิลลี่นี่เอง ดูเหมือนว่าต้นตระกูลของพวกเธอจะเป็นสหายร่วมรบ ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน และในเมื่อทั้งสองตระกูลมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันแล้ว นั่นเองจึงเป็นเหตุว่าทำไมทั้งสองคนถึงกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกันได้
ส่วนเหตุผลว่าทำไมลูกสาวทั้งสองคนของตระกูลบารอเนสถึงไปทำงานเป็นสาวเสิร์ฟโรงแรมในเมืองเล็กๆ นั้น เพราะว่าทั้งสองคนออกไปเพื่อต้องหารหางานเป็นหลักแหล่ง เพื่อเส้นทางในชีวิตของตัวเองน่ะ
ครอบครัวของทั้งคุณลิลลี่และอาริสะ ต่างก็มีผู้ชายเป็นทายาทผู้สืบทอดเรียบร้อยแล้ว นั่นเองจึงทำให้ในอนาคต ทั้งสองคนต่างต้องออกจากบ้านไปหาอนาคตของตัวเอง ไปหางานทำ หรือหาคู่ชีวิตเพื่อจะแต่งงาน
คุณซาเลน่าพี่สาวของคุณลิลลี่นั้น หางานประจำที่กิลด์นักผจญภัยได้แล้ว แถมดูเหมือนว่าจะเป็นตัวแทนชิงตำแหน่งระดับผู้บริหารกิลด์ในเมืองหลวงซะอีก
แต่ที่ไปทำงานในที่ไกลปืนเที่ยงอย่างฮาลูร่านั่นเพราะคนทำงานไม่พอ คุณลิลลี่เลยติดสอยห้อยตามไปด้วย เพื่อจะได้สัมผัสประสบการณ์รับมือกับคนหลายๆ แบบในสังคม พอคุณอาริสะสบโอกาสก็เลยฉวยจังหวะตามไปด้วยเลย
อนึ่ง ทายาทสืบสกุลตระกูลของคุณลิลลี่นั้นเป็นน้องชาย ส่วนผู้สืบทอดตระกูลของคุณอาริสะนั้นเป็นพี่ชาย ทั้งสองคนนั้นต่างก็เข้าศึกษาในโรงเรียนเฉพาะสำหรับชนชั้นสูง และทั้งคู่ก็อาศัยอยู่ที่หอในโรงเรียนนั่นแหละ
เอ๋? มีแค่ชนชั้นสูงที่เข้าเรียนได้เท่านั้น? ดูเหมือนว่าต่อให้มีเงินแต่ถ้าเป็นสามัญชนก็ไม่สามารถเข้าเรียนได้น่ะ แต่ในเมื่อทั้งสองคนเป็นทายาทจากตระกูลบารอเนส ก็หมายความว่ามีตำแหน่งบารอเนสรออยู่ในอนาคต ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะเลื่อนระดับเป็นชนชั้นสูงได้ ทางโรงเรียนจึงอนุญาตให้เข้าเรียนได้ ตราบใดที่จ่ายค่าเล่าเรียนได้ครบ
แต่ในเมื่อคุณลิลลี่และอาริสะเป็นผู้หญิง ทั้งคู่เลยไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเรียนที่นั่น ทางบ้านจึงจ้างครูมาสอนส่วนตัวแทน
ยังไงก็ตาม ชีวิตก็ต้องเดินต่อ
พวกเราแยกกับคุณอาริสะที่หน้าประตูใหญ่ ฉันกับคุณลิลลี่ก็มุ่งเดินหน้าเข้าสู่ตัวคฤหาสน์
“ตายแล้ว ตายแล้ว ตายแล้วว! ลิลลี่พาเจ้าสาวหน้าตาน่ารักกลับมาบ้านด้วยล่ะ! ทำไงดีนะ? คืนนี้ต้องฉลองแล้วสินะ? ”
“คุณแม่! หนูกับคุณเร็นไม่ได้เป็นอะไรแบบนั้นกันนะ! ใจเย็นๆ ค่ะ! ”
“เร็น? หนูชื่อเร็นงั้นเหรอจ๊ะ? แม้แต่ชื่อยังน่ารักเลย! ขอน้าเรียกว่าหนูเร็นได้มั้ย? ตกลงนะ? เพราะงั้น น้าขอฝากลิลลี่ไว้กับหนูเร็นด้วยนะจ๊ะ! ”
“คุณผู้หญิง มันรบกวนแขกนะคะ โปรดสำรวมรักษากิริยาซักหน่อยเถอะค่ะ ”
“โอ๋? งั้นเหรอ? อย่างงั้นเหรอ? เอาไงดีน้า? ”
คนอ๊องๆ คนนี้คือคุณแม่ของคุณลิลลี่ล่ะ เป็นมาดามที่ดูจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้วอายุอานามก็ราวๆ 20 ปลาย มีชื่อว่าคุณมิเรียม
และอย่างที่เห็นนั่นแหละ คุณน้าคนสวยคนนี้ออกจะอ๊องๆ แล้วก็เป็นคนสุดลิ่มพอสมควร
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง…..ฉันว่าฉันออกจะชอบคุณเธอนะ แต่ว่า มาแบบนี้ก็เล่นเอาสตั๊นท์ ไปไม่ถูก ไม่รู้จะตอบสนองออกไปยังไงดีเลยล่ะ
“ขอโทษนะคะ ขอโทษ ขอโทษ! ฉันขอโทษแทนคุณแม่ด้วยนะ! ”
อ่าー อื้ม ไม่ต้องคิดมากขนาดนั้นก็ได้ มั้งนะ……?
“ลิลลี่จ๊ะ จะจัดงานแต่งเมื่อไหร่ดี! ”
ขอโทษค่ะ ขอกลับคำนะ...ช่วยคิดมาก แล้วก็ทำอะไรซักอย่างกับแม่เธอทีเถอะ!
ผู้กล้า เมืองหลวงนี้ ชื่อ นักบุญ จอร์จ
ReplyDeleteอัสคารอน เป็นชื่อ มังกร ที่ปราบซินะ
Deleteเล่นเอาชื่อดาบของเซนต์จอร์จมาตั้งชื่อเมืองหลวงแบบนี้ก็ไม่ต้องสืบละ คนต่างโลกแหงๆ
ReplyDeleteแต่งโลด
ReplyDelete