Side Story 035 - เสียงกระซิบของนักผจญภัยคนหนึ่ง
[1 ต้นฉบับใช้ 俺 (ore) : ข้า แต่พอลองใส่คำว่า ข้า แล้วมันแปลกๆ พอใช้คำว่าผมก็แลดูสุภาพเกิน เลยขอใช้เป็น เรา แทนนะคะ]
เราเดินทางออกจากหมู่บ้านเมื่ออายุ 13 ปี ไปลงทะเบียนเป็นนักผจญภัย กับกิลด์นักผจญภัยที่ฮาลูร่าที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของหมู่บ้าน ในตอนนั้นมีพี่สาว โครี่ และเพื่อนสนิทของเธอ เทส เป็นเพื่อนร่วมเดินทางไปด้วยกันด้วย
ด้วยว่าเป็นห่วงไม่อยากให้เดินทางตัวคนเดียว แม้จะบอกไปแล้วว่าให้เลิกทำเหมือนเป็นเด็กได้แล้ว แต่ไม่มีใครรับฟังเลย
ซึ่งเรื่องนั้นก็พอเข้าใจได้ ว่าตอนที่ออกเดินทางด้วยตัวเองหนแรก จบด้วยการถูกพวกต้มตุ๋นหลอกเอาเงินไปเกือบทั้งหมด แต่ในเมื่อครั้งนั้นไม่ได้เจ็บตัวอะไร ก็ไม่น่าใช่เรื่องใหญ่นี่นา
…...แต่มันก็เป็นเรื่องจริงแหละ เพราะไม่ใช่คนที่พูดเก่ง หรือช่ำชองในการเจรจาอะไร และก็ถูกโครี่ช่วยไว้จากเหตุการณ์คับขันหลายหน
แต่เรื่องราวบานปลายเพราะเธอก็ไม่ใช่น้อยเหมือนกันแหละ
และดูเหมือนเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับการเจรจาทั้งหลายพวกนั้น เทสก็เรียกได้ว่าไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง…...นี่คิดมาหลายหนแล้ว ว่าควรจะเดินทางคนเดียวจริงๆ
ในช่วงเวลาสองปีที่ผ่านมานับจากที่เริ่มรับอาชีพเป็นนักผจญภัย ก็รับงานมามากมาย เดินทางไปเมืองหลวงทางตะวันออกก็หลายหน ระหว่างนั้นเราก็ได้พบเข้ากับเบ็ค และก็ลงเอยด้วยการฟอร์มปาร์ตี้ด้วยกัน
เบ็คอายุมากกว่าสองปี เป็นนักผจญภัยแรงค์ C ตั้งแต่ตอนที่เจอกันแล้ว
ในตอนที่เจอกันครั้งแรกนั้น ยังเป็นเพียงนักผจญภัยแรงค์ E เพราะงั้นสำหรับเบ็คแล้ว นี่มันไม่น่าสมกันสักเท่าไหร่ แต่น่าแปลกตรงที่พวกเราดันเข้าขากันมาก และก็ฟอร์มปาร์ตี้ด้วยกันอย่างที่ว่าไปข้างต้น และตอนนี้เขากลายเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดไปซะแล้ว
ด้วยการพยายามอย่างหนัก เมื่อเร็วๆนี้จึงได้รับการบรรจุเป็นนักผจญภัยแรงค์ D แล้ว การเป็นนักผจญภัยแรงค์ D นั้นต่างกันกับสมัยก่อนลิบลับ ตอนนี้เราไม่เป็นภาระกับเบ็คอีกแล้ว
พวกเราเดินทางกลับหมู่บ้านเพื่อฉลองการเลื่อนแรงค์ อยากจะบอกเล่าสารทุกข์สุขดิบให้กับพ่อและแม่ที่รออยู่ที่บ้านฟัง ให้พวกท่านได้เห็นว่าลูกชายคนนี้เติบโตขึ้นแค่ไหน แต่เดิมได้ชวนเบ็คไปด้วย แต่เขาปฏิเสธและยืนยันว่าจะรออยู่ที่ฮาลูร่า ด้วยว่าไม่อยากรบกวนเวลาส่วนตัวของครอบครัว ถึงจะอดผิดหวังเบาๆ ไม่ได้ แต่มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
ในช่วงเวลาสองปีที่ผ่านมา กับเทสนั้นได้เปลี่ยนความสัมพันธ์จนตอนนี้กลายเป็นคนรักไปแล้ว เพราะงั้นการกลับบ้านไปหนนี้ก็เพื่อป่าวประกาศเรื่องนี้อย่างเป็นทางการอีกด้วย
แต่ดูเหมือนว่าอะไรๆ ก็ไม่เป็นใจ เพราะเมื่อมาถึง หมู่บ้านกลับอยู่ในสภาพที่เลวร้าย มีโรคอะไรบางอย่างระบาดไปทั่ว และมีคนหลายคนถึงขนาดเสียชีวิตไปด้วยแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นแม่ก็เหมือนจะล้มป่วยด้วย ท่านต้องนอนซมอยู่บนเตียงทั้งวัน พี่ชายคนโตที่เป็นว่าที่ผู้นำตระกูลคนต่อไปก็เริ่มป่วยแล้วเช่นกัน ส่วนพ่อที่ต้องคอยดูแลทั้งสองคนนั้นก็ ดูอ่อนเพลียอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ในสถานการณ์แบบนี้ ไม่ใช่จังหวะที่เหมาะสำหรับการประกาศข่าวดีเท่าไรนัก ซ้ำร้าย เทสก็ยังมาติดโรค และล้มป่วยตามไปด้วย
ยาสมุนไพรที่ขายในหมู่บ้านหมดเกลี้ยงขาดตลาดตั้งนานแล้ว เรียกว่าไม่สามารถหาซื้อได้อีก
ที่พอมีติดตัวติดมืออยู่บ้าง ก็เพียงโพชั่นฟื้นฟูเล็กน้อย ถึงจะดูไม่น่าจะได้ผล แต่ก็ดีกว่าไม่ได้ลอง ดังนั้นจึงนำโพชั่นไปให้เทส แม่ และพี่ชายลองดื่ม แต่ก็อย่างที่คาด ไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่นัก
ด้วยว่านี่เป็นครั้งแรกที่กลับมาที่หมู่บ้านนับตั้งแต่ออกเดินทาง มาพบว่าทุกคนป่วยอยู่แบบนี้ ทำให้เคว้งไปเลยว่าจะกลับมาเพื่ออะไร แต่จากการเฝ้าไข้ของพวกเรา ตอนนี้พี่ชายเริ่มกลับมาแข็งแรงขึ้นแล้ว ส่วนเทสอาการยังคงไม่ดีขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว และแม่นั้นอาการกลับทรุดลง
จนวันหนึ่ง โคโค่ ที่เป็นน้องสาวก็หายไปจากบ้าน
จากที่ไล่ถามมามีชาวบ้านเห็นเธอหายเข้าไปในป่า แต่ไม่มีใครพอมีแรงเหลือที่จะห้าม หรือแม้แต่จะออกไปตามหาในป่าลึกมากได้
ดูเหมือนว่าในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมานี้ สัตว์ประหลาดในโซนป่าชั้นในลดปริมาณลงมากบางคนเลยคาดคะเนว่าโคโค่อาจจะเห็นว่าป่าปลอดภัยมากพอ เลยแอบหนีเข้าไปเก็บสมุนไพรลดไข้
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เด็กคนนั้นเพิ่งจะอายุหกปีเท่านั้นเอง เธอไม่สามารถเอาตัวรอดได้แน่ๆ
ถึงแม้จะกังวลไปแบบนั้น แต่เธอก็กลับมาในวันรุ่งขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังได้ยาอะไรบางอย่างติดมือกลับมาด้วย ซึ่งไม่เคยเห็นยานั่นมาก่อนเลย และอีกอย่างที่ติดมาด้วยก็เป็นอะไรที่ดูเหมือนโพชั่น
ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าเธอได้พบเข้ากับแม่มดที่อาศัยอยู่ในป่าลึก เดี๋ยวนะ แม่มด…..เรอะ! นี่ไม่มีทางให้แม่กินอะไรแปลกๆ แบบนั้นแน่นอน
แต่พ่อหมดแรงไปแล้วโดยสิ้นเชิง และอาการของแม่ก็มีแต่แย่ลงๆ แย่ขนาดที่ว่าไม่น่าจะมีอะไรช่วยเธอได้อีกแล้ว ณ จุดนี้
ถึงจะไม่ชอบใจ แต่ก็ไม่มีอะไรจะเสีย จึงลองเอายาให้ท่านกิน ไข้กลับลดลงในวันรุ่งขึ้น และหายดีในอีกวันถัดมา นี่มันอะไรวะเนี่ย!
แต่ถึงแม่จะหายดีแล้ว แต่ท่านก็ยังไม่แข็งแรงพอที่จะสามารถลุกได้ออกจากเตียงได้ แต่หลังจากที่ดื่มโพชั่นที่ติดมาด้วย เธอก็แข็งแรงมากพอที่จะทำงานบ้านได้ตามปกติ
นี่มันอาจจะเป็นโพชั่นชั้นสูงใช่มั้ย!? ปกติแล้วต้องใช้เงินกี่เหรียญทองเพื่อที่จะซื้ออะไรแบบนี้กัน? แล้วแม่มดคนนั้นกลับให้อะไรแบบนี้มาเปล่าๆเลยเนี่ยนะ? ยังไงกันเนี่ย!?
ไม่สิ เรื่องเงินน่ะช่างมัน แต่ในเมื่อยารักษาอาการป่วยของแม่ได้ ในกรณีนั้นก็ต้องรักษาเทสได้เหมือนกัน
ดังนั้นเลยไปถามโคโค่ถึงตำแหน่งของแม่มดคนนั้น และออกเดินทางไปหาในวันรุ่งขึ้น
แต่พอไปถึงบ้านของแม่มดที่อยู่ในป่าลึก ก็พบว่าเธอน่าจะไม่อยู่ การเดินทางคราวนี้ มีโคโค่เป็นคนนำทาง และโครี่ ที่เป็นพี่สาวออกเดินทางไปด้วยกัน
โครี่ที่ดึงดันจะมาด้วย อ้างว่า เธอมาเพราะจะได้มาเอายาเพื่อกลับไปช่วยเหลือเพื่อนสนิทของตัวเอง แต่เท่าที่เห็น โครี่แค่สนใจแม่มดคนนี้มากกว่า เพราะว่าเธอเป็นคนแบบนี้น่ะ
ในเมื่อมันมีความเป็นไปได้ที่เธอจะอยู่ในบ้าน พวกเราจึงตั้งหลักรออยู่แถวๆ นั้น แต่ในเมื่อเป็นแค่การรอ และไม่มีอะไรให้ทำอยู่แล้ว จึงถือโอกาสเดินวนดูไปรอบๆ
นี่มันบ้านที่มีบริเวณ ทำแพงหินเป็นรั้วรอบขอบชิด ยิ่งไปกว่านั้นคือบ้านหลังนี้มีสองชั้น แล้วก็มีร่องรอยการทำสวนอยู่อีกด้วย ว่าแต่ปลูกอะไรบ้างนะ?
จากที่ดูแค่ภายนอก ก็สามารถพูดได้เต็มปากเลยว่าบ้านหลังนี้สร้างมาได้ดีมาก แล้วน้องสาวก็ยังบอกอีกว่าข้างในนั้นประดับตกแต่งได้สวยงาม และเตียงที่โคโค่ได้นอนนั่นก็เหมือนสวรรค์ บางทีแม่มดคนนี้อาจจะยอดเยี่ยมมากก็ได้?
ตอนนี้ก็ได้แต่กังวล และหวังว่าเธอคงจะแบ่งยามาให้พวกเราอีกสักครั้ง แต่จากที่โคโค่บอกคือแม่มดคนนั้นเป็นคนใจดีมาก แต่ถึงยังไงก็ยังกังวลอยู่ดี
หลังจากที่รอได้ครู่ใหญ่ๆ อยู่ๆ โคโค่ก็ส่งเสียงโหวกเหวก
“อ้ะ นั่นไงง พี่สาวแม่มด!”
ผิดไปจากที่คาดไว้จริงๆ แม่มดคนนี้ตัวเล็กเอามากๆ ด้วยเพราะโคโค่เรียกว่า ‘พี่สาวแม่มด’ เลยคิดเอาไว้ว่าน่าจะอายุมากกว่านี้ ไปจนถึงคุณยายแก่ๆ เสียด้วยซ้ำ แต่จากที่เห็นนี่หมายความว่าเธอยังเด็กอยู่สินะ?
“......เฮ้ย จะบอกว่ายัยเตี้ยนั่นน่ะเหรอ?”
“อื้ม ใช่แล้วค่ะ ! นั่นแหละคุณพี่สาวแม่มด”
ดูเหมือนว่าจะไม่ผิดแล้วล่ะ ยัยเตี้ยนี่น่ะแหละ
“เธอน่ะ เป็นแม่มดใช่มั้ย ? ”
“......ไม่ใช่แม่มดค่ะ ฉันบอกเด็กคนนั้นไปแล้วนี่คะ”
“อย่างงั้นเหรอ ? แต่ยัยนี่บอกว่า ได้ยาจากแม่มดมานะ”
“ยานั่นฉันเป็นคนให้เอง และฉันไม่ใช่แม่มดค่ะ”
“......อย่างงั้นเหรอ”
“ค่ะ”
ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่แม่มดจริงๆ แต่ความจริงที่ว่ายัยนี่เป็นคนให้ยากับโคโค่นั้นไม่ผิดแน่ และถ้าคาดคะเนเอาจากเสียง เธอคนนี้น่าจะยังเด็กอยู่มากๆ อาจจะเด็กกว่าเราด้วยซ้ำไป
…...ไม่สิ เดี๋ยวนะ บางทีอาจจะแค่เตี้ยรึเปล่า ?
ก็หน้าอกของเธอมันใหญ่ซะขนาดนั้น เอาจริงๆ มันใหญ่เด่นออกมามากเลย อาจจะใหญ่กว่าทั้งของโครี่ หรือเทสด้วยซ้ำไป
ไม่ๆ อย่าเสียสมาธิ นั่นไม่ใช่เป้าหมายในการมาซักหน่อย ยาต่างหาก แต่อยู่ๆ จะถามออกไปเลยมันก็ยังไงๆ อยู่ ถ้าชวนคุยเรื่องอื่นก่อนอาจจะดีกว่า ?
“เธออาศัยอยู่ในที่แบบนี้เหรอ ?”
“ก็ใช่”
“อยู่คนเดียวเหรอ ?”
“ใช่”
“แล้วบ้านหลังนี้มันอะไรกัน...ไม่สิ แล้วไอ้บ้านดีๆ หลังนี้มาอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรกได้ยังไงกัน ”
“ว่าแต่ ถามอะไรเยอะแยะมาตั้งแต่เมื่อตะกี้แล้ว แล้วนี่ฉันจำเป็นต้องตอบทั้งหมดด้วยเหรอ ? ”
“อ่ะ ไม่ นั่นน่ะ….ไม่ต้องตอบหรอก”
“......”
…...บทสนทนาชักจะเข้ารกเข้าพง มุ่งไปในทางที่ผิดซะแล้ว เฮ้ออออ ทำพังอีกแล้ว ทำไมชอบเป็นแบบนี้อยู่เรื่องเลย ตามปกติแล้ว คนที่ทำหน้าที่เจรจาส่วนมากจะเป็นโครี่ ด้วยว่านี่ก็ไม่ใช่คนที่เก่งในการพูดคุยซักเท่าไหร่ แล้วยิ่งหลังๆ มีเบ็คเข้ามาเป็นคนนำบทสนทนาอีกต่างหาก เนื่องด้วยว่าเบ็คเป็นคนต่อรองเก่งมาก
“เดี๋ยวสิเนล ! ทำไมต้องก้าวร้าวแบบนั้น ! ลืมไปแล้วเหรอว่าเรามาที่นี่ทำไม ?”
“อา โทษที แต่เธอคนนี้อยู่คนเดียวในที่แบบนี้ มันแปลกๆ น่ะ”
“ทุกคนก็มีเหตุผลของตัวเองกันทั้งนั้น ! รีบขอโทษซะสิ !”
“อา เอ่ออ…..ตะกี้นี้ ขอโทษด้วย”
“......ไม่เป็นไร”
อย่างที่คาดไว้ นี่คงจบแล้วล่ะ เพราะว่าคุยไม่เก่งเท่าโครี่ แต่พูดก็พูดเถอะ ส่วนมากของการสนทนาที่โครี่เป็นคนจัดการ มักจะเละไม่เป็นท่า ความทรงจำที่เราต้องเป็นคนตามล้างตามเช็ดผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด แต่ว่านี่ไม่ใช่เวลามารำลึกความหลังนะ ตอนนี้ต้องเอาเรื่องยาขึ้นมาพูดก่อน
“เอ่ออ จริงๆ แล้ว เนลที่อยู่ตรงนี้เป็นพี่ชายของโคโค่ล่ะค่ะ”
“โคโค่ ?”
“เอ๋? ยัยนี่ไง ที่เธอช่วยไว้ ? ที่โดนก๊อปลินโจมตี”
“......อา ใช่”
“เด็กคนนี้ ชื่อโคโค่สินะ”
“ไม่รู้ชื่อเหรอ? ทั้งที่ยัยนี่บอกว่าเธอให้ค้างคืนด้วยนี่นะ”
“ลืมถามชื่อน่ะ”
“อ...อย่างงั้นเหรอ”
ทั้งที่ช่วยโคโค่จากพวกก๊อปลิน ทั้งยังให้ยาที่ดูมีราคาขนาดนั้นมาแบบฟรีๆ แต่กลับลืมถามชื่อเนี่ยนะ……
“เอ่อคือว่า ...ที่มาวันนี้น่ะ คือ อยากแสดงความขอบคุณน่ะ เอ่อ...ยาที่เธอให้ตอนนั้นน่ะ หลังจากแม่กินเข้าไปแล้ว แม่ก็หายดีขึ้นมาเลย ทั้งที่ยอมแพ้ไปแล้ว เอ่อ ขอบคุณมากนะ ”
”อย่างงั้นเหรอคะ…...ดีแล้วล่ะค่ะ”
…...เธอดูโล่งใจจริงๆ นะเนี่ย บางที ถ้าคนๆ นี้เป็นแม่มด ก็อาจจะเป็นแม่มดที่ดีนะ ถ้าเป็นแบบนั้น เธออาจจะแบ่งยามาให้อีกก็ได้
“เพราะงั้นแล้ว เอ่อ…..อะไรนะ ยา น่ะ! ยา ยังมีอีกมั้ย ในหมู่บ้านน่ะ ยังมีคนที่ป่วยหนักรอความช่วยเหลืออยู่อีกเยอะเลย ...เพราะงั้นได้โปรดเถอะ”
“เอ่อ ขอความกรุณาด้วยเถอะ ! ถึงเรื่องนี้ฉันจะไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วย แต่คนรักของเจ้าหมอนี่กำลังป่วย เอ่อ ฉันชื่อโครี่ เป็นพี่สาวของหมอนี่น่ะ! ยินดีที่ได้รู้จัก! เอ่อ คนรักของเจ้านี่น่ะ อาการไม่ค่อยดีแล้ว... ได้โปรดเถอะ ช่วยแบ่งยาให้เราหน่อยจะได้มั้ย ? ”
พอถึงตรงนี้ โครี่ก็ช่วยเสริมอีกแรง
“ คุณคนรักของคุณสินะคะ? ต้องขอโทษด้วยนะ แต่ตอนนี้ไม่มียาเหลือแล้วล่ะค่ะ แล้วก็การจะปรุงยานั่นขึ้นมาใหม่น่ะมันต้องใช้เวลา มีสิ่งที่ต้องตระเตรียมเยอะ อยู่ๆ จะให้เสกออกมาเลยมันเป็นไปไม่ได้ แล้วก็ต่อให้ฉันปรุงยาให้เธอคนนั้นจริงๆ ถ้าเรื่องนี้แพร่งพรายถึงคนอื่นต่อ มีหวังเรื่องยุ่งยากก็จะเข้ามาหาฉันไม่หยุดไม่หย่อนแน่นอนค่ะ”
เข้าใจนะ เข้าใจเรื่องที่พูดดี แต่ฉันจะมายอมแพ้ตรงนี้ง่ายๆ ไม่ได้
“อย่าพูดแบบนั้นเลย! ขอร้องล่ะ!”
แม่มดส่ายหน้าปฏิเสธ
“ปัญหาอยู่ที่เวลาค่ะ กระทั่งวัตถุดิบที่ต้องใช้ก็ไม่พอ อย่างที่บอกว่าอยู่ๆ ให้เสกออกมาวันนี้พรุ่งนี้เลยมันเป็นไปไม่ได้”
“ต้องใช้วัตถุดิบอะไรบ้างล่ะ!? จะไปหามาให้!?”
ถ้าไม่มีวัตถุดิบ จะไปหามาให้เอง ยานั่นมันสำคัญจริงๆ ! แต่แม่มดกลับสายหน้าในเชิงปฏิเสธอีก โดยไม่สนว่าจะอ้อนวอนแค่ไหนก็ตาม
“ทำไมล่ะ! ทั้งที่ขอร้องขนาดนี้แล้วแท้ๆ!”
“กรรร…!”
“อ..อา….”
ด้วยอารมณ์โกรธที่พุ่งพล่าน จึงโผเข้าไปหมายจะคว้าไหล่ของแม่มดที่ยืนตรงหน้า ทันใดนั้นเอง หมาป่าตัวใหญ่ก็โผล่ออกมาขู่ด้วยเสียงน่ากลัวในลำคอ จากด้านหลัง จะว่าไปแล้ว โคโค่ก็เคยบอกเรื่องหมาป่าเอาไว้ด้วย ทั้งที่ตัวใหญ่ขนาดนี้ เข้ามาใกล้ขนาดนี้ แต่ทำไมก่อนหน้านี้ถึงไม่รู้สึกถึงการมีตัวตนอยู่เลยล่ะ? เป็นผลของสกิลอะไรบางอย่างงั้นเหรอ? หรือว่านี่อาจจะเป็นเกรทวูล์ฟ? ถ้าไปทำให้โกรธเข้าคงแย่…...ทำยังไงดี?
“อย่างที่บอกไปแล้ว ต่อให้พวกคุณร้องขออีกมากแค่ไหนก็ทำอะไรไม่ได้หรอกค่ะ กรุณากลับไปแต่โดยดีเถอะค่ะ ”
แม่มดกลับเข้าบ้านไป เสียงประตูถูกล๊อกดังส่งท้าย ทิ้งพวกเราที่กำลังสับสนเอาไว้
ขณะที่มองขึ้นฟ้าก็พบว่าพระอาทิตย์กำลังจะอัสดง โคโค่ก็อยู่ที่นี่ด้วยเพราะงั้นคงเป็นเรื่องแย่ ถ้าต้องตั้งป้อมนอนกลางแจ้งอยู่ที่นี่ วันนี้คงต้องกลับไปตั้งหลักที่บ้านก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยกลับมาใหม่
หลังจากนั้น การไปที่บ้านของแม่มดทุกวันๆ ก็เป็นกิจวัตร แต่ก็ไม่ได้เจอหรอกนะ ก็รู้อยู่ว่าคงเป็นการรบกวน แต่ไม่มีทางอื่นอีกแล้วที่จะพึ่งได้นอกจากยาของแม่มดคนนี้เท่านั้น
วันหนึ่ง หลังจากกลับมาจากการไปรออยู่ที่หน้าบ้านแม่มด โคโค่ก็วิ่งมาหา พร้อมเอายาออกมาให้ ดูเหมือนว่าแม่มดจะเอายามาให้ในช่วงกลางวัน พร้อมกับฝากข้อความมาด้วย
“ฝากมาบอกว่าไง?”
“อื้อ พี่สาวบอกว่ามันน่ารำคาญ ไม่ต้องกลับไปอีกแล้ว ยานี่ถือเป็นข้อแลกเปลี่ยน”
“อย่างงั้นเหรอ…...”
ดูเหมือนฉันจะทำให้รำคาญมากสินะ…...แต่เท่านี้ เทสก็ปลอดภัยแล้ว จึงคว้ายาแล้วรีบมุ่งหน้าเอายาไปให้เทสทันที
ผลของยานั่นยิ่งใหญ่มาก เทสหายดีอย่างรดเร็วเสีจนเจ้าตัวยังตกใจ โดยใช้เวลาแค่สองวันก็แข็งแรงเหมือนเดิม เหมือนกับกรณีของแม่เลย
“ยานี่มันอะไรกันเนี่ย…….ถึงขนาดว่าแอบเอายาออกมาลองวิเคราะห์ดูแล้วนะ แต่ไม่สามารถแยกองค์ประกอบออกมาได้ และดูเหมือนว่าต้องใช้สกิลที่ระดับสูงมากๆ ในการจะสร้างยานี้ขึ้นมาล่ะ…….”
เทสเริ่มตีรวนไปเรื่อย แต่เธอก็มักจะเป็นแบบนี้เสมอ เมื่อมีอะไรที่เกี่ยวกับเวทย์มนต์เข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย
วันถัดมา เทสก็หายดีโดยสมบูรณ์ จึงตัดสินใจตรงไปที่บ้านแม่มดแต่เช้าตรู่ เพื่อไปแสดงความขอบคุณ แม้ว่าเธอจะบอกว่าไม่ต้องมาอีกแล้วก็เถอะ แต่เราน่ะ อยากจะขอบคุณด้วยใจจริงนะ
เมื่อเดินทางมาถึงบ้านแม่มด ก็เริ่มเคาะประตู แต่เธอไม่ออกมา เลยเคาะต่อไปเรื่อยๆ
หลังจากเคาะอยู่พักหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงปลดกลอนและประตูก็ค่อยๆ แง้มออก
“อา…...”
ทำไมถึงได้มีเทพธิดามาอยู่ตรงหน้าล่ะ
หลังจากนั้น พวกเราก็เตรียมตัวเดินทางกลับฮาลูร่าทันทีที่เดินทางกลับมาถึงหมู่บ้าน ด้วยว่าขณะนี้กำลังจะเข้าหน้าหนาวแล้ว และจะอยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีก อีกเหตุผลก็คือ ในหมู่บ้านยังมีคนป่วยอยู่อีกมาก ถ้าพวกเราที่เหลือติดโรค ล้มป่วยลงไปด้วยคงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ แถมยังมีเบ็คที่รออยู่ที่ฮาลูร่าอีก
คืนก่อนเดินทางแม่จัดงานเลี้ยงส่งพวกเราแบบเล็กๆ ภายในครอบครัว พอถามว่าเอาเงินมาจากไหน ท่านก็ตอบว่า ได้จากการขายโพชั่นของแม่มดที่ยังเหลืออยู่ ให้กับพ่อค้าเร่ที่บังเอิญผ่านทางมาที่หมู่บ้านนี้ และท่านดูดีใจจนออกมาทางสีหน้า ที่คิดว่าตนเองขายได้ราคาดีแล้ว
แต่พอเรารู้ราคาที่แม่ขายออกไปแล้ว กลับกลายเป็นความเครียดเข้ามาแทน เพราะราคาที่ควรจะเป็นน่าจะสูงกว่านั้นมาก
เมื่อเทียบกับผลของมันแล้ว โพชั่นพวกนั่นต้องเป็นโพชั่นระดับสูงอย่างไร้ข้อกังขา ถ้าเป็นแบบนั้น ราคาที่ควรจะขายได้ คือหลายเหรียญทองเลยล่ะ แต่พอเห็นพ่อกับแม่ดีใจขนาดนั้นทำให้พูดอะไรไม่ออก แม้แต่โครี่ก็นั่งทำหน้าสีหน้าเหมือนอึดอัดกับอะไรบางอย่าง
หลังจากเดินทางกลับไปถึงฮาลูร่า พวกเราก็รับแต่เควสปราบปรามอย่างต่อเนื่องไม่หยุด ด้วยว่ามีก๊อปลินออกมาเรื่อยๆ เพราะพอเข้าฤดูหนาว อาหารไม่เพียงพอ ทำให้มีก๊อปลินเข้ามาหาอาหารใกล้เมืองอยู่เนืองๆ
ช่วงฤดูหนาว เควสปราบปรามก๊อปลินเยอะขึ้นมากดังที่ว่าไปข้างต้น แต่พอเข้าใกล้ปีใหม่จะเป็นช่วงที่หิมะตกหนัก ซึ่งพวกเราจะทำอะไรไม่ได้มากนัก และตอนนี้กำลังรู้สึกดีที่เชื่อเบ็คที่บอกให้ประหยัดเงินเงินไว้เผื่อช่วงเวลาแบบนี้
ในเมื่อไม่สามารถออกไปจากโรงแรมได้ และมีเวลาว่างเหลือเฟือ จึงเล่าเรื่องแม่มดให้กับเบ็คฟัง ซึ่งเบ็คก็นั่งฟังเรื่องราวอย่างสนอกสนใจ
หลังจากฤดูหนาวผ่านพ้น ฤดูใบไม้ผลิเริ่มเข้ามาหิมะที่กองทับถมอยู่เริ่มละลาย จู่ๆ ก็มีโอกาสได้พบกับเพื่อนสมัยเด็กที่มาจากหมู่บ้านเพื่อจะซื้อของ ดูเหมือนว่าตอนนี้หมู่บ้านเริ่มจะมีการเก็บสมุนไพรไว้เผื่อฉุกเฉินบ้างแล้ว
เราพยายามชวนเพื่อนคนนี้สมัครเข้ามาเป็นนักผจญภัยด้วยกัน เพื่อนคนนี้ ทั้งแข็งแรง และกล้าหาญ คงจะดีถ้าได้มาเป็นพรรคพวกออกเดินทางไปด้วย แต่เขาปฏิเสธด้วยว่าตั้งใจที่จะตั้งรกรากอย่างสงบอยู่ในหมู่บ้าน
จากการที่กลับไปหมู่บ้านช่วงฤดูใบไม้ร่วงเมื่อปีก่อน ไม่ได้คุยกับเพื่อนคนนี้มากนัก ตอนนี้เลยคุยติดลมกันมากมาย และในเมื่อไม่ได้เจอกันนาน ทำให้หัวข้อที่จะคุยนั้นไหลมาอย่างไม่ขาดสาย
มาจนหัวข้อที่เกี่ยวกับแม่มดป่าคนนั้น
ดูเหมือนว่ามีชาวบ้านหลายคนบุกไปขอยาจากเธอในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งก็แน่นอนอยู่แล้ว ว่าต้องโดนกวดไล่กลับมาจากหมาป่าพวกนั้น แต่คนพวกนั้นก็ยังเข้าไปตามตื้ออีกหลายหนอย่างไม่ลดละ
จากนั้นไม่นานก็เริ่มมีคนจากหมู่บ้านอื่นเข้ามาร่วมด้วย เป็นผลจากโพชั่นที่ขายให้กับพ่อค้าคนนั้น ไปนั่นแหละ
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าพ่อค้าคนนั้นไปโพนทะนาถึงสรรพคุณของโพชั่นว่ายังไงบ้าง
ซ้ำร้ายคือ หนึ่งในโพชั่นพวกนั้น ขวดหนึ่งตกไปอยู่ในมือของขุนนางที่เป็นผู้ปกครองดินแดนทางใต้ และล่ำลือกันว่า ขุนนางคนนั้นกำลังรวบรวมกองทหารเพื่อมาจับตัวแม่มด
และวันรุ่งขึ้นหลังจากที่ข่าวลือพวกนั้นแพร่ออกไป แม่มดก็หายไปเสียเฉยๆ แม้แต่บ้านก็หายไปด้วยแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
ร่องรอยที่เหลือตรงจุดที่ๆ เคยเป็นบ้านของแม่มดมีเพียงระบบน้ำทิ้งเท่านั้น นอกนั้นไม่มีอะไรเหลือสักอย่าง
แต่การที่บ้านหายไปได้แบบนั้น นั่นเป็นสิ่งที่ยืนยันว่าเธอเป็นแม่มดของจริง เพื่อนยังเอาเรื่องของเธอมาพูดอย่างสนุกปาก ในขณะที่เราได้แต่รับฟังอย่างเงียบๆ
เป็นเพราะครอบครัวของพวกเรา ที่ทำให้แม่มดหายไปจากป่า ความรู้สึกผิดพลั่งพลูออกมาอย่างรุนแรง ทั้งที่รู้แก่ใจดีว่าตอนนี้ทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว
หลายวันต่อมา เราตัดสินใจที่จะรับงานคุ้มภัยระยะยาว
ด้วยว่าพอทำงานแบบเดิมซ้ำๆ เข้าก็เริ่มเบื่อ จึงคิดอยากเปลี่ยนบรรยากาศดูบ้าง
แต่ไม่คาดคิดเลย ว่าหลังจากที่กับมาจากเควสคุ้มภัย เราจะได้มีวาสนาได้กลับมาพบเจอกับแม่มดป่าคนนั้นอีกครั้ง
ไม่วายได้ก่อปัญหาให้อีกใช่มิเนี่ย
ReplyDelete😂
ReplyDelete