073 - คนๆ นั้น ณ ตอนนี้





วัสดีตอนกลางวัน นี่เร็นเองค่ะ ตอนที่กำลังฝึกมืออยู่ที่สำนักตีเหล็ก ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง อยู่ๆ ก็ได้ลงทะเบียนกับกิลด์การค้าแบบงงๆ ซะงั้น 

ดูเหมือนว่าเครื่องทำเส้นพาสต้ากับเครื่องบดเนื้อที่ใช้ไปก่อนหน้านี้จะถูกพิจารณาว่าเป็นนวัตกรรมล่ะ  แถมรายได้จากสิทธิบัตรก็ท่าทางจะทำเงินได้งามดีซะด้วย

จากที่ได้ยินมาจากเจ้าหน้าที่ตอนที่ไปลงทะเบียนสิทธิบัตรที่กิลด์การค้า ดูเหมือนว่าพาสต้าแบบเส้นยาวจะไม่เป็นที่รู้จักกันในประเทศนี้ แต่มีอยู่หลายเมนูที่ใช้เส้นแบบนี้เป็นวัตถุดิบอยู่ในโซนพื้นที่ภาคกลางของทวีปล่ะ

แล้วก็ เครื่องมือเดิมที่ใช้สำหรับการรีดเส้นพาสต้าแบบที่โลกนี้ใช้กันอยู่ทั่วไปในปัจจุบันจะเป็นอะไรที่บอบบางมาก…...ถ้าจะให้เปรียบก็คงคล้ายๆ เครื่องทำเส้น โทโคโระเต็น1 ที่จะใช้แรงในการบีบ กดแป้งออกมาเป็นเส้นให้เส้นผ่านช่องออกมา

[1 ところてん : Tokoroten(โทโคโระเต็น) วุ้นแบบเส้นของญี่ปุ่น ทานกันมาแต่โบร่ำโบราณ ค้นกลับไปได้ตั้งแต่สมัยนารา สมัยก่อนที่จะมีการผลิตผงวุ้นเชิงอุตสาหกรรม คนญี่ปุ่นจะเอาสาหร่ายสีแดงมาต้มกับน้ำ พอเย็นจับตัวเป็นก้อน ก็จะนำมาใส่พิมพ์ตามรูปแล้วบีบให้ออกมาเป็นเส้น ทานได้ทั้งร้อน(ราดโชวยุ,งา,สาหร่าย,พริกป่น,น้ำส้มสายชู,ฯลฯ) และเย็น(ราดผงคินาโกะ, น้ำตาลทรายแดง,ฯลฯ) ]


Tokoroten : https://shop.kantenpp.co.jp/shopdetail/000000001788/


เมื่อเอาเจ้าเครื่องรีดเส้นของเราไปเปรียบ นับว่าเป็นการพลิกโฉมนวัตกรรมการผลิตเส้นพาสต้าไปโดยสิ้นเชิงก็ได้ เพราะมันช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้นมาก! อะไรราวๆ นั้นล่ะมั้งนะ? 

ส่วนเจ้าเครื่องบดเนื้อดีกว่าของที่มีอยู่ตรงแค่ทุกอย่างหดลงแค่นั้นแหละ…...

แต่ต่อให้มีเครื่องบดเนื้อก็เถอะ แต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่มีแฮมเบอร์เกอร์ในประเทศนี้ล่ะ ซึ่งก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม แถมเจ้าหน้าที่จดทะเบียนยังบอกอีกว่ายังไม่มีสูตรอาหารแบบนั้นในพื้นที่ภาคกลางอีก นี่เลยสงสัยว่ามีทบอลที่เห็นๆ กันอยู่ในประเทศนี้ใช้พวกเศษเนื้อเป็นวัตถุดิบเอาสินะ? เพราะงั้นที่นี่เลยไม่เห็นมีเครื่องบดเนื้อขาย

ในขณะที่อาหารที่ใช้พาสต้าเส้นยาวเป็นวัตถุดิบจะยังไม่มีในประเทศนี้ แต่กลับเห็นว่ามีอยู่ในเมืองการค้าที่อยู่ทิศตะวันตกล่ะ อืมม เอาซะอยากลองไปดูซักหนเลยล่ะ อยากลองชิมอาหารของโลกนี้ให้มากๆ เลยล่ะ


นั่นเอาไว้ก่อน ที่สร้างเจ้าเครื่องมือพวกนี้ขึ้นมาได้นี่ ก็ด้วยองค์ความรู้จากชาติก่อนทั้งหมด ไม่ได้เป็นคนประดิษฐ์ขึ้นมาเองหรอก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมาทำเงินให้อีก…...รู้สึกผิดในหลายๆ เรื่องเลยแฮะ…...

อ่า จะว่าไปแล้ว เดาว่านี่ก็นับเป็น ความขี้โกง อย่างที่พวกบรรดาตัวเอกต่างโลกมักจะมีกัน เพราะงั้น เดาว่านี่คงต้องทำใจให้ชินด้วยเหมือนกันสินะ?

ว่าแต่ นี่ก็รู้อยู่หรอกนะ ว่าโลกใบนี้ยังเรียกว่ากำลังพัฒนาอยู่ในหลายๆด้าน แต่ดันมีระบบสิทธิบัตรแล้วเนี่ย มันก็หลุดโลกเกินไปนะ เอาซะไม่รู้จะเริ่มบ่นจากตรงไหนก่อนดีเลยล่ะ

แล้วก็ ค่าใช้จ่ายสำหรับการลงทะเบียนกับกิลด์การค้าเนี่ย จะแพงกว่าใครเพื่อน และจะขึ้นอยู่กับรูปแบบธุรกิจที่ลงทะเบียนไว้ โดยจะอยู่ระหว่าง 1 - 5 เหรียญทอง ซึ่งบางกรณีอาจจะสูงถึง 10 เหรียญทองเลยก็มี ที่ค่าใช้จ่ายสูงขนาดนี้ก็เพื่อเป็นเหมือนหลักประกันกรณีที่ธุรกิจนั้นๆ จะไม่ประสบความสำเร็จ ทางกิลด์จะได้ไม่เจ็บตัวมาก

กรณีของฉัน เสียค่าลงทะเบียนไป 5 เหรียญทองล่ะ พอเอาไปเทียบกับกิลด์นักผจญภัยที่ไม่เก็บค่าลงทะเบียนแล้วเรียกว่าใจดีไปเลยล่ะ


แต่ในกรณีนี้ก็คงเป็นเพราะมีเรื่องของค่าใช้จ่ายในการร่างแบบสำหรับขอจดสิทธิบัตรรวมเข้าไปด้วย แล้วก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มทุกครั้งที่มาเพิ่มสิทธิบัตรใหม่ๆ เข้าไปอีก

กิลด์การค้าเป็นองค์กรสากลที่กระจายตัวอยู่ทั่วในหลายๆ ประเทศ ฉะนั้นต่อให้เจ้าเครื่องมือของฉันถูกเอาไปผลิตขายในประเทศอื่น ก็ยังได้เงินอยู่ดี และทางกิลด์เองก็ยังได้เงินส่วนแบ่งไปด้วย ที่ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยแบบในวงกว้างได้ขนาดนี้ ก็เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของทางกิลด์เองนั่นแหละ

นอกจากนั้น จากที่เจ้าหน้าที่กิลด์การค้าอธิบายเรื่องราวต่างๆ ให้ฟังก็คือ ดูเหมือนว่าประเทศนี้จะนับว่าล้าหลัง และห่างไกลจากความเจริญอยู่มากโข ตอนที่ฉันมายื่นเรื่องจดสิทธิบัตร ต้องมานั่งไล่หาว่ามีอะไรแบบนี้จดทะเบียนไปก่อนหน้านี้แล้วรึยัง เหนื่อยชะมัดยาด

เพิ่มเติมก็คือ เงินได้จากสิทธิบัตร จะถูกจัดการ และส่งผ่านให้โดยทางกิลด์เองโดยอัตโนมัติ การลงทะเบียนเป็นสมาชิกกิลด์จะเป็นการเปิดบัญชีเงินฝากกับทางกิลด์ไปในตัว เพื่อที่ว่าเงินได้จากการใช้งานสิทธิบัตรทั้งหมดจะถูกโอนเข้ามาในบัญชีนั้นๆ 

และดูเหมือนว่า จะสามารถทำธุรกรรมได้จากกิลด์การค้าอื่นๆ ได้โดยไม่ต้องไปสาขาที่เปิดบัญชี นอกจากนั้นยังรวมไปถึงบรรดากิลด์อื่นๆ ที่ไม่ใช่กิลด์การค้าอีกด้วย หากลงทะเบียนเอาไว้ เพราะแต่ละกิลด์ก็ต่างก็เป็นพันธมิตรกันอยู่แล้ว เช่นในกรณีฉันก็สามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้จากกิลผจญภัยได้เลย 

จุดที่ต่างกับกิลด์นักผจญภัยก็คือ ดูเหมือนว่ากิลด์การค้าจะเรียกเก็บค่าสมาชิกเป็นรายปีล่ะ แต่ก็สามารถตัดเงินจากในบัญชีได้เลย โดยจะทำการหักเองโดยอัตโนมัติ เพื่อจะได้ไม่ต้องเดินทางมาจ่ายที่กิลด์ด้วยตัวเอง 

และในเมื่อชั้นตอนการดำเนินงานในการจดสิทธิบัตรนั้น ใช้เวลานานมาก เพราะงั้นจะดีมากเลยล่ะ ถ้าฉันไม่ต้องถ่อมาเสียค่าใช้จ่ายอีกรอบนึงล่ะมั้งนะ? แต่ว่านะ ให้ตายเหอะ สายตาของพวกพ่อค้านี่มันน่ากลัวชะมัดเลยอ่ะ


ไม่ใช่แค่เจ้าพวกนี้จะรู้ว่า ฉันเป็นคนทำหมูทอดทงคัตสึในฮาลูร่า หรอกนะ แต่ยังรวมไปถึง เรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านฟาร์มไก่ อีก แถมยังตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าอาจจะเป็น แม่มดในป่าทางตะวันตก ที่ร่ำลือไปซะอีก น่ากลัวเกินไปแล้วว้อย! แต่อย่างน้อยก็พอจะแถเรื่องแม่มดในป่าอะไรนั่น ให้ไปในทางว่า เป็นแค่เรื่องที่เกิดขึ้นใกล้ๆ ตัวไปได้ล่ะนะ

และนั่นแหละ ทำให้ฉันไม่อยากย่างกลับเท้าเข้าไปในกิลด์ผจญภัยอีก 


หรืออันที่จริง ก็แอบกังวลว่าถ้าโผล่หน้าไปที่กิลด์การค้าบ่อยๆ ก็อาจจะต้องไปป๊ะเข้ากับเจ้า พ่อค้าหน้ากบ นั่นเข้าซักวันด้วย


…...เจ้านั่นคงไม่ตามตัวชั้นแล้ว ใช่มะ?


บางทีอาจจะต้องคิดถึงเรื่องการเก็บข้าวของหนีเอาไว้ด้วย และนั่นก็ต้องดูสถานการณ์อีกที ซึ่งถ้าต้องหนีไปจริงๆ มันจะน่าหงุดหงิดสุดๆ เพราะอุตส่าห์หาเช่าโรงเรือนตีเหล็กเอาไว้ด้วยนี่แหละ 

ตอนนี้ก็คงต้องรอดูไปก่อน…...แต่ว่าก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมเอาไว้ จวนตัวเมื่อไหร่ก็เผ่นได้เลย

ยิ่งฉันเป็นพวกทำอะไรตามที่สถานการณ์พาไปอยู่บ่อยๆ เพราะงั้นจากนี้ต้องระวังตัวให้มากขึ้น…...ก็ไม่ได้อยากทำตัวเด่นหรอก จริงๆ นะ…


อ่ะ จะว่าไปแล้ว แรงค์ของสมาชิกกิลด์จะเพิ่มจากยอดเงินที่จ่ายให้กับกิลด์ และภาษีที่จ่ายให้ประเทศ โดยจะคำนวนจากเงินได้ทั้งหมดของธุรกิจนั้นๆ เป็นรายปี สำหรับชั้นก็จะคำนวนและหักอัตโนมัติจากเงินได้จากการใช้สิทธิบัตรอยู่แล้ว เพราะงั้นต่อให้ปล่อยไว้ก็คงไม่เป็นไรหรอก

แต่ว่านะ นานๆ ทีก็ควรจะต้องโผล่หน้าไปอัพเดทแรงค์บ้าง…...ซึ่งถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากมาเหยียบที่นี่หรอกนะ…...


หลังจากที่เจอปัญหานู่นนี่นั่นแบบที่ว่าไปข้างต้นแล้ว ก็ได้กลับมาสู่จังหวะการใช้ชีวิตในสำนักตีเหล็กแบบเดิมเสียทีล่ะ




บ่ายวันหนึ่งขณะที่กำลังพักเบรคหลังจากมื้อเที่ยง ก็คิดว่าจะออกไปเดินเล่นด้านนอกสักหน่อย ด้านหลังของอาคารหลักจะมีประตูอยู่บานหนึ่ง ที่พอเปิดออกจะโผล่ไปยังด้านนอกของสำนัก โดยจะเป็นตรอกทางเดินเล็กๆ 

สุดทางของตรอกทางเดินเล็กๆ ที่ตรงข้ามกับทางที่จะออกไปสู่ถนนใหญ่นั้น จะนำไปพื้นที่เปิดโล่ง มีแนวรั้วที่มองออกไปเห็นท้องฟ้ากว้าง อธิบายให้ชัดๆ ก็คือเป็นพื้นที่ต่างระดับ จะเรียกว่าหน้าผาเลยก็ว่าได้  

ขณะที่วางมือลงบนรั้วแล้วมองลงไป จะเห็นหลังคาของบรรดาบ้านเรือนที่เรียงรายอยู่ด้านล่าง สูงขนาดที่ว่าถ้าตกลงไปก็คงเจ็บหนักเจียนตายแหง เพราะงั้นก็ต้องระวังอย่าตกลงไปล่ะนะ

แต่ว่านะ รั้วรอบขอบชิดแน่นหนาขนาดนี้ ถ้าจะมีใครซักคนตกลงไปก็คงเป็นความผิดของเจ้าตัวเองแล้วแหละ ซึ่งเจ้าคนที่ตกลงไปได้จริงๆ ถ้าไม่โง่ก็คงบ้า แล้วก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีการชดเชยอะไรใดๆ จากภาครัฐให้คนที่ตกลงไปอีกต่างหาก เพราะงั้นก็ต้องระวังล่ะ


แต่ว่าอยู่ตรงนี้ก็แทบจะเรียกได้ว่าเหมือนอยู่บนยอดเขา ลมก็สดชื่นเอามากๆ ไปนั่งใกล้ๆ แนวรั้วดีมั้ยนะ? ตรงนั้นมีม้านั่งจัดวางเอาไว้ให้ด้วย ดูเหมือนว่าจะเป็นจุดที่มีผู้คน มักจะเข้ามานั่งพักผ่อนกัน แม้ว่าทางเข้าจะเป็นแค่ตรอกเล็กๆ ล่ะ

อย่างที่ว่าไปข้างต้น แม้ว่าตำแหน่งที่ตั้งจะเป็นแบบนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไร้ผู้คน  เพราะงั้นฉันเลยต้องยกฮู้ดขึ้นมาคลุมปิดเอาไว้ และพวกโนรุนก็อยู่ข้างๆ นี่ด้วย


ว่าแต่ลมที่พัดมาก็ทำให้รู้สึกดีเอามากจริงๆ นะเนี่ย ต่อไปนี้คิดว่าอาจจะมานั่งพักที่นี่ประจำล่ะ


“ฟุว๊าาー”


หง่ะ เผลอทำเสียงแปลกๆออกไปซะแล้ว


“เอ่อ ฉันเห็นคุณเดินออกมาจากประตูบานนั้น ไม่ทราบว่าคุณเป็นเด็กฝึกงานในสำนักตีดาบที่นี่เหรอคะ? ”


หวา!? มีคนได้ยินเสียงแปลกๆ นั่นด้วย!? แย่ที่สุด น่าอายชะมัด!


“อ่ะ คะ? เอ่อ ไม่ใช่หรอกค่ะ”


“เอ๋? อย่างงั้นเหรอคะ? แต่ตะกี้เห็นเดินออกมา…...”


“แบบว่า ตอนนี้กำลังรบกวนอะไรหลายๆ อย่างที่สำนักอยู่น่ะค่ะ หรือก็คือเช่าใช้งานพื้นที่เค้าอยู่”


“อ่า อย่างนี้นี่เอง…...ถ้าเป็นแบบนั้น นั่นคงเป็นไปไม่ได้สินะ…...”


แลดูผิดหวังและเศร้าลงทันทีเลยแฮะ ทั้งที่ชั้นก็ไม่ได้ทำอะไรผิดหรอกนะ แต่ไม่รู้ทำไม กลับรู้สึกผิดซะอย่างงั้น แถมคนๆ นี้ก็ยังปล่อยรังสีแห่งความหดหู่ออกมาอีก งึมมม…...


“เอ่อ…...มีอะไรกวนใจอยู่รึเปล่าคะเนี่ย? ”


เอาจริงๆ นี่เป็นคำถามที่ไม่ควรถามออกไปเลยจริงๆ นะน่ะ ประโยคนี่มันประโยคปักธงชัดๆ รู้แหละว่าถ้าถามออกไปแล้วก็คงไม่แคล้วเอาเรื่องยุ่งยากมาให้ แต่ด้วย ความเป็นคนญี่ปุ่น จึงทำให้ยังคงถามออกไป  และที่สำคัญ เด็กคนนี้น่ะ……


“เอ๋? ”


“กลุ้มใจเรื่องอะไรอยู่เหรอคะ? ”


“อ่ะ ไม่…....จะว่ายังไงดีล่ะ? คือว่า ฉันยังเป็นแค่นักผจญภัยมือใหม่อยู่น่ะค่ะ จะเรียกว่าลูกเจี๊ยบที่ยังไม่มีขนเลยก็ว่าได้…...”


…...เรื่องมีอยู่ว่า กิลด์นักผจญภัย กับกิลด์ช่างฝีมือนั้น จะมีระบบผูกสัญญาช่วยเหลือซึ่งกันและกันอยู่ ระบบสัญญาที่ว่าคือการที่นักผจญภัยหน้าใหม่ มาทำสัญญากับช่างฝีมือหน้าใหม่ เพื่อเพื่อช่วยกันพัฒนาฝีมือ เป็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

ยกตัวอย่างเช่น นักผจญภัยมือใหม่นั้น อาจจะไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อยุทโธปกรณ์ เพราะยุทโธปกรณ์ดีๆ ที่เชื่อถือได้ ก็ย่อมมีราคาสูงตามไปด้วย ซ้ำร้ายอาวุธบางอย่างอาจจะเป็นของที่ใช้แล้วหมดไปได้อีก อย่างเช่นลูกธนูหรือมีดซัด

ขณะเดียวกัน ช่างตีเหล็กมือใหม่ก็อาจจะเจอสภาพการณ์ที่คล้ายๆ กัน คนที่เพิ่งเริ่มต้นก้าวเข้าสู่วิชาชีพช่างตีเหล็กนั้น มักจะไม่มีกำลังทรัพย์มากพอที่จะซื้อวัตถุดิบ แถมยังไม่สามารถใช้ห้องตีเหล็กได้ตามที่ใจต้องการซะอีก และหากสร้างอะไรขึ้นมาซักอย่างหนึ่ง  ก็ยังไม่มีหนทางที่จะทดสอบประสิทธิภาพ หรือการใช้งานจริงได้เลย 

ซึ่งตรงนี้เอง ที่ระบบผูกสัญญาระหว่างนักผจญภัยและช่างฝีมือได้เข้ามาสนองความต้องการของทั้งสองฝ่าย 

นักผจญภัยก็จะได้เครื่องไม้เครื่องมือ อาวุธ เครื่องป้องกัน ในราคาต่ำ หรือบางกรณีก็คือฟรี ในขณะที่ช่างฝีมือก็จะได้ทดลองประสิทธิภาพของผลงานที่สร้างขึ้น 

และนักผจญภัยยังสนองวัตถุดิบต่างๆ ให้กับช่างฝีมือในราคาต่ำ หรือฟรี เพื่อแลกกับอาวุธใหม่ เครื่องป้องกันใหม่ หรือแม้แต่ค่าประสบการณ์ ส่วนช่างฝีมือก็จะได้นำวัตถุดิบใหม่ๆ ไปทดลองใช้งานเพื่อเพิ่มพูนความรู้ ซ้ำยังได้เรียนรู้ประสิทธิภาพ และความสามารถในการใช้งานจริงของผลงานตัวเอง เพื่อนำไปปรับปรุง เพิ่มพูนฝีมือและสกิลให้ดียิ่งๆ ขึ้นไปอีก

และผลที่ได้ก็คือ ทั้งสองฝ่ายก็จะสามารถแก้ปัญหาในแง่ของการเงิน ได้ฝึกฝนความเชี่ยวชาญของวิชาชีพร่วมกันผ่านทางระบบผูกสัญญานี่เอง


อย่างไรก็ตามระบบนี้ก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบไปเสียทั้งหมด

ความสามารถของนักผจญภัยมือใหม่ที่ไม่มากพอ ทำให้การเสียชีวิตระหว่างปฏิบัติการเป็นเรื่องปกติที่พบได้บ่อยๆ ดังนั้นแล้ว การเสาะหาวัตถุดิบคุณภาพดีมาป้อนให้กับช่างฝีมือก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

ในด้านของช่างฝีมือก็เช่นกัน ในเมื่อบุคลากรที่มาเข้าในระบบสัญญานี้ก็เป็นมือใหม่เหมือนกัน ดังนั้นคุณภาพและประสิทธิภาพของยุทโธปกรณ์ที่สร้างขึ้นก็ย่อมที่จะไม่ได้จัดว่าดีงามเท่าไรนัก ในบางคราวอาจจะถึงขนาดพังคามือขณะที่กำลังหน้าสิ่วหน้าขวานอยู่เลยด้วยซ้ำ


นี่เลยเป็นเหตุให้เนื้อหาในสัญญา บังคับให้แต่ละฝ่ายไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบในชีวิต และการตายของคู่สัญญา ดังนั้น ชีวิตของตัวเองก็ต้องรับผิดชอบเอาเอง ต่อให้ตายไป ก็นับเป็นความผิดของตัวเอง

ซึ่งก็เคยมีกรณีที่เพื่อนพ้องนักผจญภัยด้วยกันเสียชีวิต เพราะอุปกรณ์สวมใส่ไม่ได้ทำหน้าที่อย่างที่มันควรจะเป็น และตามเนื้อหาในสัญญา การตามราวีช่างฝีมือนั้นเป็นสิ่งที่ห้ามกระทำ

และแน่นอนว่าการละเมิดสัญญาก็จะนำไปสู่การโดนลงโทษอย่างใดอย่างหนึ่ง 

อย่างไรก็ตาม หากมีอุบัติเหตุร้ายแรงเกิดขึ้นบ่อยๆ จากกรณีแบบนี้ ช่างฝีมือก็อาจจะต้องโทษเช่นเดียวกัน ซึ่งก็ต้องดูกันไปตามกรณี 

อย่างว่าล่ะนะ การผูกสัญญา ก็หมายความว่า ทั้งสองฝ่ายก็ต้องยอมรับอย่างเท่าเทียมกัน ทั้งคุณ และโทษ



และดูเหมือนว่า เด็กสาวตรงหน้าฉัน จะรอนแรมไปทั่วย่านช่างฝีมือทุกวันๆ เพื่อหาใครสักคนที่จะยอมเซ็นผูกสัญญาด้วย 

สาวน้อยดูลุกลนอย่างเห็นได้ชัด พูดจาเกือบจะเรียกได้ว่าวกวนไปมา แต่ก็ยังพอสามารถสื่อสารสิ่งที่เธอต้องการสื่อได้อยู่ 


…...ไม่เปลี่ยนไปซักกะนิด ยังเป็นเหมือนเมื่อก่อนเลย


เธอคนนี้ มีผมสีบรอนซ์สว่าง ยาวจนถึงจุดที่สามารถผูกเข้าด้วยกันได้ ซึ่งเมื่อก่อนจะยาวกว่านี้ ผิวสีเข้ม ดูเหมือนว่าจะเข้มขึ้นกว่าแต่ก่อนด้วยล่ะ? แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยก็คือ ดวงตากลมสีน้ำเงินที่เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นนั่น

 


…...ใช่แล้ว ฉันรู้จักเด็กผู้หญิงคนนี้


“......นั่นแหละ ถ้าคำนึงถึงเด็กที่ออกมาจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าด้วยกันแล้ว นี่เลยคิดว่าการหาใครซักคนมาผูกสัญญาด้วยน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดล่ะมั้งคะ? แต่ก่อนอื่นเลยก็คือ จะไปหาคนแบบนั้นได้จากที่ไหนเนี่ยแหละ? ลำบากมากเลยล่ะค่ะ”


พออายุครบ 11 ปี เธอกับเด็กๆ คนอื่นที่อายุเท่ากัน ออกมาจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า เพื่อมาเป็นนักผจญภัย แต่โดยตามความเป็นจริงแล้ว สถานรับเลี้ยงฯ ควรจะอนุญาติให้พวกเราอยู่จนอายุครบ 15 ปี

แต่ที่เธอกับเพื่อนๆ เลือกที่จะตัดสินใจออกมาจากสถานรับเลี้ยงฯ ก็เพื่อที่จะสละที่ให้กับพวกเด็กคนอื่นๆ ที่อายุน้อยกว่า 


“ตอนแรกก็คิดว่ารับมือได้หรอกนะคะ แต่พอลงไปเจอเข้าจริงๆ แล้ว นี่แยกสมุนไพรออกจากพืชอื่นๆ ไม่ได้เลยล่ะ เลยได้แต่สู้กับพวกก๊อปลิน กับหมาป่าแคระในฐานะ ป้องกันตัวเอง ไปพลาง แต่อาวุธที่มีมันใช้งานไม่ได้เอาเลยล่ะค่ะ”


มองลงไปเห็นมีดจะพังมิพังแหล่เล่มหนึ่ง สวมอยู่ในฝักที่เหน็บไว้ข้างเอว ร่องรอยที่เห็นอยู่ทั่ว บ่งบอกถึงสภาพความเป็นอยู่ที่ยากลำบากอย่างเห็นได้ชัด 

ฝ่ามือของเธอหยาบกร้าน เต็มไปด้วยริ้วรอย ถึงแม้ว่าเด็กในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าทุกคนนั้นจะมือหยาบกันเป็นเรื่องปกติก็เถอะนะ แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังอยู่ในสภาพที่ดีกว่ามือของเด็กสาวตรงหน้านี่มาก


“นั่นล่ะค่ะ เลยลองออกมาเสี่ยงเดินหา หวังว่าอาจจะสามารถหาใครมาผูกสัญญาได้! แล้วก็ถ้าเป็นไปได้ ก็ว่าจะลองร้องขออาวุธไปให้กับพวกเด็กๆ ด้วย”


ไม่เปลี่ยนไปเลยซักกะนิดเดียว ยังคงเป็นเหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิด

ยังคงคอยดูแลคนอื่นอยู่เสมอเลย แม้ว่านั่นจะเป็นภาระ ทำให้ตัวเองเหนื่อยขึ้นมากก็เถอะ


“......เธอไม่เปลี่ยนไปเลยนะ ทริเอล่า1

[1 トリエラ]


“เอ๋? ”


เด็กสาวคนนี้ หรือก็คือทริเอลล่า หันดวงตากลมโตมองมาทางฉัน สีน้ำเงินในแววตานั้นยังคงเฉกเช่นเดิมสมัยที่ยังอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า โล่งใจชะมัดเลย….



<Prev - Index - Next>


TL note : ยอมรับตรงๆว่าติดอ่านนิยายเรื่องอื่นอยู่ล่ะ แหะแหะ....

Comments

  1. ขอบคุณครับ ตอนนี้ค้างมากเลยครับ

    ReplyDelete
  2. เอ๋ เจอคนรู้จักเสียงั้น
    ดูท่า จะได้เทรนจนผิดสามัญสำนึกอีกคนแหงมๆ

    ReplyDelete
  3. พอถึงตอนสนุกๆแล้วค้างตลอดเลย555

    ReplyDelete
  4. หาเรื่องยูริได้ตลอดเลยแฮะ

    ReplyDelete
  5. ขนมจีน ดีๆ นี่ เองงงงงงง

    ReplyDelete
  6. เพื่อนเก่าสินะ

    ReplyDelete
  7. รออยู่นะคร้าบ

    ReplyDelete

Post a Comment