004 - คุณแม่เป็นภูติหิมะ!?





แปล : Ayumin3310


   อยู่ๆ ก็มาพูดอะไรแบบนี้แบบไม่ได้บอกกล่าว
   มันก็เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่ไม่ว่าใครก็คงจะงง
   คุณแม่ เป็นภูติหิมะเนี่ยนะ? คุณพ่อกำลังพูดอะไรอยู่เนี่ย?

   “ภ-ภูติหิมะ? เหมือนในพวกนิทานปรัมปราอ่ะเหรอพ่อ?”

   แล้วพวกท่านก็มาเจอกันแบบในนิทานน่ะนะ …?

   เหมือนกับเรื่องเล่าของชายคนตัดไม้ที่ติดอยู่ในกระท่อมกลางภูเขาหิมะ จนเกือบหนาวตาย แล้วก็ได้เด็กสาวที่เป็นภูติหิมะช่วยไว้ โดยแลกเปลี่ยนกับห้ามพูดเรื่องที่เกิดขึ้น จากนั้นต่างก็ตกหลุมรักกัน ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุขตลอดไป? เอาจริงๆก็จำรายละเอียดไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็เป็นอะไรคล้ายๆ แบบนี้ล่ะมั้ง?

   “ใช่แล้ว ภูติหิมะแบบในนิทานนั่นล่ะ”

   “......”

พ่อยังคงเล่าต่อ โดยไม่สนใจว่าผมจะแข็ง ตัวเย็นเยียบประหนึ่งแท่งน้ำแข็งที่ไหลย้อยลงมาจากหลังคาขนาดไหน

   “แม่จ๋าจะมาหา ตอนที่แกอายุ 14 หรือก็คือในอีกวันสองวันนี้ และก็อาจจะมาพาตัวแกไป ขึ้นอยู่กับสถานการณ์น่ะ一”

   ผมจ้องหน้าพ่อค้นหาความผิดปกติบนนั้น
   งานส่วนของวันนี้ก็ยังทำไม่เสร็จดี ข้าวเย็นยังไม่ได้เตรียม และนั่นก็หมายความว่า พ่อก็จะยังไม่ได้ดื่มเบียร์ ที่สำคัญ ถ้าดื่มไปแล้วหน้าพ่อจะแดงกว่าปกติ
   แต่ตอนนี้หน้าพ่อยังไม่ขึ้นสี ฉะนั้นนี่อาจจะเป็นการแกล้งล้อเล่นเพราะเป็นวันเกิดแน่ๆ

   “...มุกตลกของพ่อใช้ได้เลยนะ ฮ่าๆ  ”

   ผมพยายามหัวเราะส่งๆไปเพื่อให้จบเรื่องนี้ซักที
   แต่ไม่ว่าจะรอประโยคประมาณว่า 「ใช่แล้ว ล้อเล่นน่ะล้อเล่น เอ้าทีนี้ก็ไปทำข้าวเย็นได้แล้ว」แต่พ่อก็ยังไม่พูดประโยคราวๆนั้นออกมาซักที  จนเสียงหัวเราะของผมเริ่มเฝื่อนไป

   “ขอโทษ แต่นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นหรอกนะ”

   พ่อยังคงสีหน้าซีเรียสไว้เช่นเดิม

   “ต-แต่ว่า มีคนบอกว่าแม่ตายในอุบัติเหตุไม่ใช่เหรอพ่อ”

   “พ่อเคยพูดแต่ว่า เมื่อถึงเวลาจะเล่าให้ฟัง แต่ไม่เคยบอกว่าเธอตายเลยนะ...บางทียูคิยะอาจจะได้ยินมาจากการพูดต่อๆ กันของเพื่อนบ้านล่ะนะ แต่เอาเป็นว่าแม่จ๋ายังไม่ตาย ไม่อย่างนั้น ก็คงมีแผ่นป้ายวิญญาณ หรือหลุมศพแล้วใช่มั๊ยล่ะ? ”

    นั่นมันก็ใช่แหละ ไม่มีแผ่นป้ายวิญญาณสักแผ่นในบ้านนี้เลย  แล้วก็ผมไม่เคยได้ไปไหว้หลุมศพจริงๆ นั่นแหละ  ซึ่งจากที่ เคยเชื่อมาตลอดว่า คงไม่ได้พบท่านอีกแล้ว กลายเป็น ท่านยังอยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้ แล้วตัวผมก็เริ่มสั่น นี่มันฟ้าถล่มดินทลายเลยนะ
   แล้วก็ ท่านเป็นภูติหิมะ เนี่ยนะ? นี่มันไม่มีอะไรสมเหตุสมผลเลยซักอย่าง

   “แล้วจะให้ผมเชื่อว่าแม่เป็นภูติหิมะน่ะเหรอพ่อ?! ”

   มีแต่เรื่องนี้ที่มันฟังดูยังไงก็เป็นเรื่องตลกเหมือนหลุดออกมาจากไลท์โนเวลที่เขียนมาไม่ดีชัดๆ ภูติหิมะเนี่ยอยู่แต่ในนิทานกล่อมเด็กเชยๆ เท่านั้นล่ะ

   “ก็นะ ไม่แปลกที่แกจะไม่เชื่อ แต่ว่ามันก็มีหลักฐานอยู่ในสายเลือดแกนะ….”

   ผู้เป็นพ่อยกมือขึ้นกอดอก เหมือนกำลังใช้ความคิด

   “ยูคิยะ แกน่ะไม่เคยรับมืออากาศในช่วงฤดูร้อนได้เลยไม่ใช่รึไง? แกมักจะหมดแรง แล้วก็ชอบที่จะอยู่แต่ในห้องแอร์ตลอดเวลา”

   “นั่นน่ะ พ่อก็ด้วยไม่ใช่เหรอ แล้วก็เอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้ชอบฤดูหนาวเหมือนกันแหละ”

   “แล้วแกก็ไม่ชอบอาบน้ำร้อนด้วย ทุกครั้งที่พ่อลงไปแช่ต่อจากแกทีไร น้ำจะหายร้อนแล้วทุกที จนพ่อต้องเปิดระบบอุ่นน้ำตลอดเวลา”

   “อือออ...”

   ปฏิเสธไม่ออกเลย ก็ไม่ชอบแช่น้ำร้อนจริงๆ

   อย่างเมื่อสองปีก่อนตอนที่ไปออกทริปไปเกียวโตกับที่โรงเรียนสมัยเรียนชั้นประถม ผมเป็นลมขณะที่ลงไปแช่ออนเซ็นกับเพื่อนร่วมชั้น โชคดีที่ตอนนั้น โทโมโนริก็อยู่ด้วย แล้วก็ช่วยกันปฐมพยาบาลจนผมหายดี ก็บ่อน้ำพวกนั้นมันร้อนมาก ร้อนอย่างไร้เหตุผลจริงๆ นะ ไม่รู้จะตั้งให้ร้อนขนาดนั้นไปเพื่ออะไร ซึ่งผมน่ะ แช่ได้แค่น้ำอุ่นๆ เท่านั้น

   “แล้วก็แกน่ะ ลิ้นแมว กินของร้อนๆ ไม่ค่-”

   “โอเค ๆ เข้าใจแล้ว ผมไม่ชอบของร้อน ไม่ถูกโรคกับอะไรที่มันร้อน ”

    “นั่นแหละ คือสิ่งที่อยู่ในสายเลือดของภูติหิมะที่แม่จ๋าทิ้งเอาไว้ในตัวแกน่ะ”

   “...นั่นมันพิสูจน์อะไรไม่ได้เลยนะพ่อ แล้วก็ มนุษย์ธรรมดาอย่างพ่อ ไปเกี่ยวข้องกับคุณแม่ที่เป็น ภูติหิมะ ตั้งแต่แรกได้ยังไงน่ะ? ”
 
   “อา เรื่องนั้นน่ะー”

   พ่อตบเข่าตัวเองดังฉาด เหมือนกับตื่นเต้นเสียเต็มประดากับสิ่งที่ตัวเองกำลังจะพูดออกมา

   “พ่อไม่เคยลืม วันที่พ่อจ๋าได้เจอกับแม่จ๋าเลยนะ เป็นปีที่แกเกิด เมื่อ 12 ปีก่อน….. ”

   (ผมอายุ 14 นะ...ลืมแล้ว...ลืมแล้วสินะ? )

   ผมอยากจะพูดแก้เหลือเกิน แต่ทำได้แต่เบรคตัวเองอย่างสุดความสามารถ

   “ตอนนั้น พ่อไปปีนเขากับกลุ่มเพื่อน แต่แล้วอยู่ๆ ก็มีพายุหิมะพัดมา”

   “พายุหิมะ? ”

   “อาー ใช่แล้ว ตอนนั้นยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ แล้วก็เข้าร่วมกลุ่มกับชมรมปีนเขา เป้าหมายของพวกเราในตอนนั้น คือพิชิตภูเขาเฮียวเซย์ ซึ่งก็สำเร็จด้วยดีนะ ปีนกันไปถึงยอดเขาเลย แต่ว่า ขาลงมาน่ะสิ อยู่ๆก็มีพายุหิมะพัดมา ทำให้พ่อพลัดหลงกับเพื่อนๆ ในกลุ่ม ตอนนั้นพ่อต้องอยู่คนเดียวท่ามกลางพายุหิมะ ในที่ๆ ดูเหมือนหลุดออกไปอีกโลกนึงเลยนะ พ่อเลยต้องขุดหิมะลงไปสร้างถ้ำ เพื่อเอาชีวิตรอด ตอนนั้นอยู่ๆ มีเด็กผู้หญิงใส่กิโมโนสีขาวมาเจอเข้า บอกว่าตัวเองเป็นภูติหิมะ ไอ้ตอนแรกก็นึกว่าภาพลวงตา...ที่ไหนได้กลับเป็นของจริงซะอย่างงั้น ”

   นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินอะไรแบบนี้ ก่อนหน้านี้รู้แค่ว่าพ่อเคยเรียนมหาวิทยาลัยในโตเกียว แต่เรื่องหลังจากนั้นไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยทั้ง เรื่องที่ว่าเคยอยู่ชมรมปีนเขา, เรื่องที่เคยมาปีนภูเขาเฮียวเซย์, เรื่องที่ติดอยู่ในเหตุคับขัน แล้วก็ เรื่องที่ถูกพบเข้าโดยเด็กผู้หญิงที่เป็นภูติหิมะ...หรือจะพูดให้ถูกก็คือ แม่

   “ผู้หญิงคนที่ว่าก็คือแม่จ๋าของแกน่ะ ในตอนนั้นความน่ารักสดใสของแม่จ๋าน่ะ ช่วยพ่อไว้ในตอนที่กำลังสิ้นหวังแบบสุดๆ นอกจากนั้นแล้ว ความงดงามนั่นก็ทำให้พ่อตกหลุมรักอย่างถอนตัวไม่ขึ้นเลยล่ะ”

   พ่อเล่าด้วยโทนเสียงที่อยู่ๆ ก็ค่อยๆ สูงขึ้น พลางกอดอก และพยักหน้าไปด้วย ประหนึ่งกำลังดื่มด่ำอยู่กับความทรงจำในอดีต

   “แม่จ๋าน่ะ เป็นเด็กสาว ที่น่ารักมาก...พวกเราต่างตกหลุมรักซึ่งกันและกันอย่างรวดเร็ว บางทีอาจจะเพราะตอนนั้นพวกเรายังเด็กกันทั้งคู่ด้วยล่ะน้าー ”

   พ่อที่กำลังเล่าความหลังเงยหน้ามองฝ้าเพดานตาละห้อย เริ่มเพ้อแล้วล่ะ

   “อา จนเมื่อเดทครั้งที่สามนั่นล่ะ พวกเราเจอกันที่ท่าเรือริมทะเลสาบที่กลายเป็นน้ำแข็งนั่น เป็นครั้งแรกที่เราสอ-”

   “อาー ผมเข้าใจแล้ว”

   นี่เรากำลังคุยเรื่องจริงจังกันอยู่นะ จะเข้าสู่ภวังแบบแปลกๆไม่ได้นะพ่อ จะว่าไปขนที่หลังเริ่มลุกแบบแปลกๆแล้วล่ะ

   “ว่าแต่ ทำไมถึงต้องมาเล่าเรื่องทั้งหมดนี่ ให้ผมฟังในวันนี้ ล่ะ”

   “อา ที่ดึงเอาไว้มาเล่าเอาป่านนี้เหรอー มันก็ด้วยเหตุผลที่มันยุ่งยากหลายๆ อย่างน่ะー ”

   “แล้วก็ ผมไม่คิดว่าภูติหิมะอะไรนั่นมีอยู่จริง! ผมไม่เชื่อหรอกนะ! ”

   “เรื่องนั้นเป็นความจริงนะ ภูติหิมะน่ะมีอยู่จริง เรื่องนั้นอย่าสงสัยในตัวพ่อเลย ”

   “มันเป็นเรืองสำคัญ ขนาดที่ต้องพูดหนักแน่นแบบนั้นเลยเหรอพ่อ!? ”

   “นั่นน่ะ….เพราะว่า มันมีสิ่งที่ต้องคำนึงถึงให้มากๆ เลย อยู่ยังไงล่ะ….”

   “ปากบอกแค่ว่าทุกอย่างสำคัญ มีแต่เรื่องที่ต้องคำนึงถึง แต่สุดท้ายพ่อก็ตอบอะไรไม่ได้สักอย่าง! ยอมรับว่าโกหกเถอะนะครับ! ”

   “ยูคิยะ เชื่อพ่อเถอะ พ่อไม่ได้โกหกหรอกนะ...”

   ผมที่ทนนั่งอยู่ตรงนี้ไม่ได้อีกแล้ว ลุกขึ้นยืนพร้อมจะเดินหนีออกไป

   “เดี๋ยวก่อน เรื่องสำคัญอีกเรื่อง น่ะ คือ...”

   “นี่มันเร็วไปสำหรับมุกตลกเมษาหน้าโง่1นะพ่อ! ”
[1 April Fool Day : เมษาหน้าโง่ เป็นวันโกหกของญี่ปุ่น จะเล่นกันในวันที่ 1 เมษายน โดยจะสามารถพูดโกหกเล็กๆ น้อยๆ กันได้โดยไม่ถือโทษโกรธกัน ]

   หลังจากตะโกนใส่พ่ออย่างเดือดดาล ผมรีบวิ่งขึ้นบันไดกลับเข้าห้องของตัวเอง กระแทกประตูห้องไล่หลัง
   ห้องของผมไม่มีกลอน เพราะงั้นก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องความเป็นส่วนตัวอะไร แต่อย่างน้อยเจ้าพ่องี่เง่าก็ไม่ตามเข้ามา

   “...คุณแม่...”

   ผมส่งเสียงพึมพัมกับตัวเอง หลังจากที่ฟุบหน้าตัวเองลงบนโต๊ะ
   สิ่งที่พ่อพูดไปเมื่อสักครู่ยังคงดังก้องไปมาอยู่ในหัว
   แม่ยังมีชีวิตอยู่...
   ทั้งสับสน ทั้งยังโกรธ ที่ถูกปิดเงียบจากเรื่องที่สำคัญขนาดนี้ แล้วอยู่ๆ ก็มาประกาศเอาวันนี้แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
   ทั้งยังเรื่องภูติหิมะอะไรนั่นอีก นี่มันไม่เข้าท่าเลยสักนิด
   ถึงพ่อจะบอกว่าอยากให้เชื่อเรื่องที่พ่อพูดขนาดไหน แต่ถ้าเป็นเรื่องของแม่แล้วมันเป็นอีกเรื่องเลย
   สำหรับผม เรื่องของแม่เป็นสิ่งวิเศษ
   เวลาที่มีปัญหาหรือสับสน รูปครอบครัวเก่าๆ ขอบผุๆ ใบนั้นก็จะถูกดึงออกมาดู
   นั่นเป็นเหตุว่าทำไมถึงรับเรื่องบ้าบอคอแตกแบบนั้นไม่ได้
   เพราะคุณแม่น่ะ นับเป็นที่พึ่งทางใจเพียงหนึ่งเดียว








Comments

  1. Good night, and good morning new world!
    มีแวววันต่อไปเพศจะเปลี่ยน

    ReplyDelete

Post a Comment