003 - คำสารภาพของผู้เป็นพ่อ





แปล : Ayumin3310



   เช้าวันรุ่งขึ้น พ่อกับผม ต้องออกมาโกยถนนนอกร้าน
   ต้องขอบคุณพายุหิมะเมื่อกลางดึก ที่ทำให้ตอนนี้ถนนทั้งเส้นถูกกลบไปด้วยหิมะขาวโพลน

   "หว๋าー หนาใช้ได้เลยนะー..."

   "นี่มันต้องออกแรงกันเยอะเลยนะน่ะ"

   ที่ว่าหนานี่คือหนาจริงๆ ขณะที่ยืนอึ้งกันอยู่ หิมะที่ถมอยู่ตรงหน้านั้นกองสูงเกือบถึงเอวแล้ว
   แต่ถ้ามัวแต่ยืนเฉยๆ ไม่ลงมือขุด หิมะก็คงย้ายตัวเองไปกองอยู่ที่ระบบระบายน้ำไม่ได้

    "ลงมือกันเลยเถอะ ยูคิยะ"

    "อ..อื้อ"

   ไม่นานเราก็เริ่มลงพลั่วขุด
   แม้ว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเปิดร้าน แต่เราก็ต้องเร่งมือแข่งกับเวลา ต้องให้แน่ใจว่าหิมะทั้งหมดที่กองอยู่หน้าร้านจะถูกเคลียส์ก่อนถึงเวลาเปิดทำการ ถ้าชาวเมืองคนอื่นก็อาจจะรอรถกวาดหิมะของทางการมาช่วยจัดการ แต่รถกวาดที่เน้นทำความสะอาดพื้นผิวถนนนั้น ก็ไม่อาจกวาดพื้นที่หน้าร้านให้สะอาดได้เท่ากับแรงงานคน

  นี่แหละ คือชีวิตของชาวเมืองเขตหนาว

  "อึ๊บ !"

  "โอ๊ออー"

   พวกเราทยอยกวาดหิมะลงไปในระบบระบายน้ำของเมืองอย่างต่อเนื่องไม่หยุดมือ
   เสียงสวบสาบดังขึ้นทุกครั้งที่แทงพลั่วลงไป
   ตอนนี้ท้องฟ้าเปิดโล่ง มีเมฆลอยมาห่างๆ เลยสงสัยว่าจะมีหิมะตกลงมาอีกมั๊ยนะ
   หิมะน่ะ เป็นเหมือนกับคู่รักที่ทำตัวร้ายกาจ แม้จะสวยงามขนาดไหน แต่ก็ทำให้เราเหนื่อยกายเหนื่อยใจได้บ่อยๆ
   ความรู้สึกโหวงๆ ในอกที่รู้ว่าหลังจากกวาดหิมะออกไปจนหมดแล้ว แต่ก็รู้ว่าอีกไม่นานถนนก็จะถูกปูทับด้วยพรมสีขาวอีกนี่มันอะไรกันนะ
   แต่นั่นไม่ใช่เหตุที่จะมายอมแพ้สักหน่อย
   พลั่วในมือค่อยๆ หนักขึ้นเรื่อยๆ ความเมื่อล้าเริ่มเข้ามาแทรก การทำงานยิ่งยากขึ้นทุกทีๆ  ถ้าเปิดร้านแล้วยังจัดการไม่เสร็จ อะไรๆ คงแย่กว่านี้

 "อ-อ-อ-อ-โอ๊ย ….หลัง...ปวดหลัง!.. นี่มันแย่ลงเรื่อยๆ ทุกปีเลยนะเนี่ย"

   แย่แล้วล่ะ ถ้าถึงขนาดคุณพ่อที่ปกติแล้วจะไม่ร้องออกมาง่ายๆ ร้องออกมา แปลว่านี่คงเจ็บมากจริงๆ พ่อหยุดมือแล้วทรุดลงนั่ง

   "แฮ่ก...แฮ่ก…ยังไม่ทันไรเล้ย"

   ผมดึงผ้าพันคอออกมาเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก
   นี่มันน่าอึดอัดชะมัด อากาศหนาวขนาดที่จะทำให้น้ำเป็นน้ำแข็งได้ แต่ร่างกายกลับร้อนเกินไป เหงื่อทะลักออกมาจากการขยับตัวออกแรงทำงานจนเหนียวตัวไปหมด
   อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยพวกเราก็จัดการกับกองหิมะหน้าร้านจนเสร็จก่อนถึงเวลาเปิดร้านจนได้

   ขณะที่เพิ่งเช็ดหน้าต่างกับโต๊ะเสร็จ
   มองเข้าไปในครัวเห็นพ่อกำลังเตรียมตัวเปิดร้านอยู่ด้านใน
   ณ จุดนี้ก็แทบจะไม่มีแรงเหลือแล้ว

   “โอเค”

   กลอนประตูหน้าถูกปลด พร้อมกับพลิกป้าย “OPEN” หงายออก
   สิ่งที่ต้องทำก็ทำหมดแล้ว
   ต่อจากนี้ก็เหลือแค่ รอให้ลูกค้ามาเท่านั้น


   . . . . . . . . .


   แต่ว่า
   ไม่มีลูกค้าเข้ามาเลยแม้แต่คนเดียว
   ไม่มีเลย
   ไม่มีลูกค้าเลย
   ได้แต่เท้าคางอยู่ที่เคาน์เตอร์ ปล่อยเวลาให้ค่อยๆ ผ่านไปอย่างเงียบเหงา

   ทันใดนั้น ประตูร้านก็ถูกเปิดออก พร้อมกับเสียงกระดิ่งที่ประตูลั่นกังวาลไปทั่วร้าน

   “ยินดีต้อนรับ! ”

   ผมรีบลุกขึ้น พร้อมส่งรอยยิ้มสดใสต้อนรับผู้ที่เข้ามา

   “อ้าว ยูคิยะ”

   เสียงหญิงสูงอายุคุ้นหูเอ่ยทักทาย
   และเจ้าของเสียงคือ คุณป้าใจดีที่มาส่งจดหมายเวียนบ่อยๆ นั่นเอง

   “นี่จ๊ะ จดหมายเวียน”

   “ข-ขอบคุณครับ คุณป้า”

   เธอดึงแผ่นจดหมายเวียนออกมา ยื่นให้พร้อมกับรอยยิ้ม จดหมายเวียนนั้น ถึงจะชื่อว่าจดหมาย แต่แท้จริงแล้วก็เป็นเพียงแค่แฟ้มที่สอดใบปลิวหรือเอกสารแจ้งข่าว สำหรับกระจายข่าวสารในชุมชนเท่านั้น
   ดูเหมือนข่าวสารที่แจ้งคราวนี้จะเป็นเรื่องการประชุมผู้ค้าและอุตสาหกรรมในหมู่บ้านเกี่ยวงานเทศกาลฤดูหนาวที่จะมาถึง

    “ขยันขันแข็งดีจังเลยนะยูคิยะเนี่ย”

    “อะ ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ”

   จากนั้นเธอก็จากไปพร้อมกับรอยยิ้มเหมือนเช่นขามา
   ลมเย็นและหิมะบางส่วนพัดโชยแทรกเข้ามาทางประตูหน้า ตอนที่คุณป้ากำลังจะกลับ
   และเมื่อประตูปิดลง ความเงียบสงบก็กลับมา

   แต่กระดิ่งหร้าประตูก็ดังกรุ๊งกริ๊งขึ้นอีกครั้งในอีกราว 20 นาทีถัดมา

   “ยินดีต้อนรับ! ”

   เช่นเคย ผมลุกขึ้นต้อนรับ พร้อมส่งรอยยิ้มสดใสต้อนรับผู้ที่เดินเข้ามา

   “ส่งพัสดุคร้าบ”

   “......ครับ”
 
   จากนั้นก็แทบที่จะไม่มีอะไรที่เป็นสาระอีก
   รู้สึกตัวอีกที ก็ถึงเวลาปิดแล้ว จึงเริ่มทำความสะอาดร้านตามปกติ
   ทำความสะอาดช่วงปิดร้านไม่ได้เหนื่อยยากอะไร แต่ในเมื่อพ่อเจ็บหลัง วันนี้เลยต้องทำความสะอาดห้องน้ำแทนสินะ. . .

   “เฮ้อ. . . วันนี้แปดคน. . .”

  แม้จะเฝ้าร้านอย่างดีแค่ไหน พยายามมากขนาดไหน แต่ผลลัพท์ก็ยังดูช่างน่าเศร้า

   “จะทำอะไรได้มากกว่านี้มั้ยนะ. . . ให้คนเห็นข้อดีของร้านเรา เผื่อจะมีคนเข้ามาบ้าง”

   หรือจะลองไปยืนแจกใบปลิวให้พวกนักท่องเที่ยวที่หน้าสถานีรถไฟดีนะ อย่างน้อยก็น่าจะดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
   หรือว่าจะให้คุณพ่อไปช่วยตะโกนเรียกลูกค้าดีนะ หรือว่า...

   “นี่ ยูคิยะ มานี่หน่อย พ่อมีอะไรสำคัญจะบอกกับลูกสักหน่อยน่ะ”

   “ครับพ่อ เดี๋ยวขอจัดการตรงนี้ก่อน”

   หลังจากที่เก็บไม้กวาดกับที่ตักผงเข้าที่แล้ว

   “เรียบร้อยแล้ว”

   ผมถอดรองเท้าสลิปเปอร์ที่ใช้ในร้านตรงหน้าบันได แล้วเดินขึ้นไปชั้นบน
   จริงๆ มันควรจะเป็นเวลาที่ต้องเริ่มเตรียมอาหารเย็นแล้ว แต่ก่อนที่จะได้ทำอะไรก็ถูกเรียกขึ้นมาที่ห้องนั่งเล่นเสียก่อน
   ฮีทเตอร์น้ำมันเรืองแสงสีแดง ปล่อยไออุ่นอบอวลไปทั่วห้อง มีพ่อกำลังเฝ้ารออยู่ที่โต๊ะ

   ถึงแม้ว่าสามวันมานี้หิมะตกเกือบตลอด แต่พวกเรากลับพยายามประหยัด เอาฮีทเตอร์น้ำมันก๊องแก๊งใกล้พังตัวนี้ออกมาใช้ ก็เพราะว่าบิลค่าไฟในแต่ละเดือนนั้นไม่ใช่เรื่องที่เห็นแล้วจะหัวเราะออกได้เลย การคุมอุณหภูมิอาคารในวันที่หนาวเช่นนี้นับเป็นเรื่องยุ่งยาก ซ้ำสถานการณ์ในร้านยังมาเป็นแบบนี้อีก ลูกค้าก็แทบไม่มี

   “ม-มีเรื่องสำคัญอะไรเหรอพ่อ?”
 
   คุณพ่อที่ปกติแล้วจะเป็นคนง่ายๆสบายๆ พูดแต่เรื่องดีๆ คนนั้น ขณะนี้กำลังนั่งมองมาด้วยสีหน้าจริงจังอยู่

   (หรือว่า ไม่นะ...พ่อจะปิดร้านเหรอ?)

   “ยูคิยะ วันนี้เป็นวันเกิดแกนะ”

   “เอ๋? ใช่แล้วล่ะ”

   “อืม ขอให้มีความสุขในวันเกิดนะ”

   “ขอบคุณครับ”

   ก็ไม่ได้หวังของขวัญวันเกิดหรอก แต่จะว่าไป พ่อลืม「ขอให้มีความสุขในวันเกิด」 เมื่อเช้าสินะ
   แต่เอาเถอะ อย่างน้อยก็ยังไม่ได้ลืมซะทีเดียว

   “ยูคิยะ เรื่องมีอยู่ว่า. . . ”

   พ่ออึกอักใช้มือลูบหนวดที่คาง พร้อมจ้องมา


   “เกี่ยวกับแม่จ๋าของแกน่ะ”

 
   จากที่กำลังเงื้อมือจะไปหยิบส้มแสนอร่อยจากชิโกกุมาทาน กลับชะงักตัวแข็งไป หัวใจเต้นเร็วประหนึ่งกำลังกรีดร้อง
   กระทั่งลมหายใจก็เหมือนจะถี่ขึ้นด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง
   เพียงแค่ได้ยินคำว่า 「แม่」 ร่างกายก็เป็นไปขนาดนี้เสียแล้ว
   ผมเติบโตขึ้นโดยไม่ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับแม่มากนัก
   ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เติบโตขึ้นอย่างหงอยเหงา หรือมีปมด้อย อะไรขนาดนั้น ด้วยว่าขณะที่เริ่มจำความได้ท่านก็ไม่อยู่แล้ว แต่กลับรู้สึกถึงสายสัมพันธ์เข้มข้นที่มีกับแม่อย่างน่าประหลาด
   คุณพ่อก็ไม่เคยเอ่ยถึงท่านเลย และไม่ว่าจะถามอะไรไปก็จะถูกบ่ายเบี่ยงหรือเปลี่ยนเรื่องเสมอ
   และขณะนี้ เสียงกรีดร้องของหัวใจก็ยังดังก้องอยู่ในอก

   “อะไรนะพ่อ...「คุณแม่」...? ”

   “ใช่แล้ว เรื่องแม่จ๋าของยูคิยะนั่นแหละ”

    เสียงค่อยๆแผ่วลงจนเหลือเพียงลมเท่านั้นที่ออกจากปาก พลางส่งสายตาจดจ้องกลับไป

   “แม่ . . . ”

   ผมพึมพัมกับตัวเอง พยายามสะกดกลั้นอารมณ์ตัวเองไว้
   อีกอึดใจถัดมา พ่อเริ่มเอ่ยปากพูดต่อ

   “พ่อ ถูกบอก ให้เอาเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง ในวันที่แกอายุครบ 14 น่ะ”

   “ใคร บอก เหรอ? แล้วเป็น เรื่องอะไร ? ”

   “คนบอกก็แม่จ๋าของแกนั่นแหละ ส่วนเรื่องที่จะเล่าก็คือ ความจริงเกี่ยวกับตัวแก และสิ่งที่พ่อและแม่ทำ โดยจะเล่าให้ฟังทั้งหมดโดยไม่ปิดบังน่ะ”

   “ไม่ปิดบัง?”

   “ยูคิยะ แม่จ๋าของแกเป็น ภูติหิมะ น่ะ ”

   “หา ?”

   จากที่ตัวแข็งอยู่แล้วกลับแข็งขึ้นไปอีก เพราะสิ่งที่เข้าหู มันแปลกเกินกว่าที่คาดไว้มาก

   “แม่จ๋าน่ะ เป็นภูติหิมะอยู่บนภูเขาเฮียวเซย์ ส่วนแกก็เป็นลูกของพ่อจ๋ากับแม่จ๋ายังไงล่ะ”




Comments