002 - วันอันสงบสุขใน “ยูคิโนะเทย์”
แปล : Ayumin3310
หากจะเอ่ยถึง หิมะ ถ้อยคำที่ใช้กล่าวถึงประเภทของหิมะทั้งหมด มีอยู่ 7 ชนิด
ที่เรามักพบเห็นได้ตามวรรณกรรมทั้งหลาย
ซึบุยูคิ(หิมะที่อัดเป็นก้อนแข็ง) วาตะยูคิ(หิมะที่มีลักษณะฟูเหมือนใยนุ่น) มิซุยูคิ(หิมะเปียกที่ใกล้จะละลาย)
คาตะยูคิ(หิมะที่เปลือกชั้นนอกแข็งตัว) โคโอริยูคิ(หิมะที่เป็นเม็ดเล็กๆ คล้ายลูกเห็บ) และ ซาราเมะยูคิ(หิมะที่เป็นเกร็ดป่น)1
[1 つぶ雪。わた雪。みず雪。かた雪。こおり雪。ざらめ雪。 ]
ตามแต่รูปร่างและลักษณะที่แตกต่างกันจึงทำให้มีชื่อที่ต่างกันไป
แต่ทั้งหมดล้วนก็หมายถึง หิมะ ที่เปรียบได้กับดอกไม้สีขาว ที่คอยแต่งแต้มฤดูหนาวให้สวยงาม
และวันนี้ก็เป็นหมือนเช่นเคย หิมะที่โปรยในช่วงเช้า ทำให้วันนี้เป็นวันที่สวยงามที่สุดวันหนึ่ง
ด้วยว่านับเป็นช่วงพีคของฤดู หิมะที่ทั้งละเอียด และนุ่มนวลจึงโปรยลงมาอย่างเต็มที่
ราวกับมีภูติหิมะเสกย้อมให้ดินแดนแห่งนี้กลายเป็นสีเงินอย่างงั้นแหละ
ความมืดเริ่มย่างกรายเข้ามา หิมะยังคงโปรยอยู่เนืองๆ
"อา~ วันนี้ก็ไม่มีลูกค้าอีกแล้วสินะ"
ขณะที่ยืนอยู่ริมหน้าต่าง เงยหน้ามองขึ้นไปบนเมฆที่ปกคลุม ย้อมจนท้องฟ้าเป็นสีเทา แลเห็นหิมะที่ร่วงหล่นลงมา
พลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
ผ้าม่านธง1ถูกยกออก
ป้ายไฟดับลง
แผ่นตัวอักษร "OPEN" ที่วางอยู่ตรงทางเข้าร้าน ถูกพลิกกลับไปทางด้านหลัง
กลายเป็นป้ายอักษร “CLOSE” แทนที่
เสียงหอนของประตูร้องประท้วงระงมขนะแง้มปิด บ่งบอกว่าถึงเวลาซ่อมบำรุงแล้ว
และกลอนก็ถูกลงจากด้านใน
เป็นสัญญาณว่าร้านปิดทำการแล้ว
[1 暖簾(Noren) : ม่านธงที่อยู่หน้าร้านอาหารญี่ปุ่น ชมรูปได้ที่ท้ายตอน]
"โอ้一 ขอบใจนะยูคิยะ1 "
[1 雪哉 (Yukiya) : หิมะแรก]
พ่อเดินมาเอ่ยขอบคุณด้วยน้ำเสียงสบายๆ ขณะที่ผมกำลังกวาดพื้นทำความสะอาดร้านอยู่
"เดี๋ยวทำความสะอาดร้านเสร็จแล้ว ทานค่อยกินมื้อเย็นกันนะพ่อ"
คำว่าทำความสะอาดร้านนั่นหมายถึง ทำความสะอาดพื้น เช็ดโต๊ะและเก้าอี้ของร้านทั้งหมด
"อื้อ เอาสิ"
หลังจากทำความสะอาดร้านเสร็จ ก็เริ่มดึงนิตรสารรายสัปดาห์ กับหนังสือพิมพ์ที่มีไว้สำหรับลูกค้าจากชั้นออกมาเรียง
ผมชื่อ คิตาฮาร่า ยูคิยะ กำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้นในโรงเรียนมัธยมใกล้บ้าน
ส่วนพ่อของผมชื่อ คิตาฮาร่า ชูจิ เป็นเจ้าของร้าน "ยูคิโนะเทย์1" แห่งนี้
[1 雪乃亭(Yukinotei) : อาศรมหิมะ]
ยูคิโนะเทย์เป็นร้านอาหาร ที่เน้นขายอาหารง่ายๆ และของชำร่วย โดยเน้นไปที่กลุ่มนักท่องเที่ยว โดยตั้งอยู่ใน "หมู่บ้านเฮียวเซย์1" ซึ่งผมเกิดและเติบโตขึ้นมา
[1 氷清村(Hyosei-mura) : หมู่บ้านน้ำเกล็ดหิมะใส]
เฮียวเซย์นั้นเป็นที่รู้จักกันในฐานะหมู่บ้านรีสอร์ทฤดูหนาว มีลานสกี ออนเซ็น และทิวทัศน์ภูเขาแสนงดงาม แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นแค่หมู่บ้านเล็กๆ ที่มีประชากรแค่ราวๆ 2,000 คนเท่านั้น
ถึงจะว่าเล็กแต่ก็เป็นหมู่บ้านที่มีพื้นที่ ที่ใหญ่ที่สุดในอำเภอแล้ว และพื้นที่ส่วนมากนั่นคือผืนป่าและภูเขาที่ยังคงบริสุทธิ์อยู่มาก
และด้วยว่าหมู่บ้านนั่น ตั้งอยู่ตรงเนินเขา ของภูเขาเฮียวเซย์อันยิ่งใหญ่ ที่สูงมากกว่า 3,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล จึงทำให้ชื่อหมู่บ้านได้ถูกเรียกขาน ตามชื่อของภูเขาไปโดยปริยาย
ภูเขาเฮียวเซย์นั้น เป็นหุบเขาที่หิมะไม่ละลายตลอดทั้งปี จึงทำให้ภาพของภูเขาเฮียวเซย์ไปอยู่บนโปสการ์ด และรูปถ่ายของชำร่วยที่กระจายขายอยู่ทั่วไป
และด้วยจุดขายที่เป็นทิวทัศน์หุบเขาอันงดงามที่สามารถเห็นได้จากทุกมุมของเมือง มีสกีรีสอร์ทชั้นยอดในฤดูหนาว พร้อมกับการเดินป่าและปีนเขาเฮียวเซย์ในฤดูร้อน จึงกลายเป็นจุดดูดทั้งนักท่องเที่ยว และบรรดานักปีนเขาและเดินป่า ให้หลั่งไหลมาที่หมู่บ้านนี้ได้อย่างมากมายตลอดทั้งปี
ด้วยเหตุนั้นเอง จึงทำให้ประชากรส่วนมากของเมืองทำงานอยู่ในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ทั้งร้านอาหาร โรงแรม และทั้งธุรกิจที่คาบเกี่ยวกับการปีนเขา เดินป่า และนำเที่ยว
และนี่คือภาพลักษณ์คร่าวๆ ของหมู่บ้านเฮียวเซย์ที่พวกเราอาศัยอยู่
คุณพ่อของผมชื่อ คิตาฮาร่า ชูจิ ผู้ที่มีพื้นเพเป็นคนโตเกียว ได้ย้ายมาตั้งรกราก และเปิดร้านยูคิโนะเทย์เมื่อราว 14 ปีก่อน
พร้อมกันนั้น ผมก็ได้ถือกำเนิดมา
ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด พ่อที่เป็นชาวเมืองถึงเลือกมาตั้งรกรากที่นี่
และถึงจะเป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว แต่ก็ดูแลผมให้เติบโตมาได้อย่างเข้มแข็งเลยทีเดียวล่ะ
“ยูคิโนะเทย์” แห่งนี้นอกจากจะเป็นร้านอาหารที่เป็นที่ทำงานแล้ว ก็ยังเป็นบ้านของพวกเราอีกด้วย ชั้นล่างประกอบไปด้วยพื้นที่ใว้ต้อนรับลูกค้า และโซนห้องครัว
และสำหรับส่วนที่เป็น บ้าน นั้นมี ห้องครัวเล็กๆ ควบรวมกับพื้นที่นั่งเล่น ห้องน้ำ และห้องนอนอยู่ที่ชั้นบน
ด้วยว่าเป็นธุรกิจครอบครัวขนาดที่เรียกว่าเล็กมากจริงๆ พวกเราจึงไม่สามารถจ้างลูกจ้างเพิ่มได้ ผมจึงช่วยงานที่ร้านไปโดยปริยาย
และในช่วงที่ปิดภาคฤดูหนาวแบบนี้ ผมก็ทำงานเป็นพนักงานคอยรับออเดอร์ที่ร้าน ตั้งแต่เช้าจนถึงช่วงเวลาปิดร้านตอนหนึ่งทุ่มล่ะ
จากนั้น หลังจากที่ทำความสะอาดร้านเสร็จเรียบร้อย ก็จะเป็นธรรมเนียมที่พวกเรา จะนั่งกินข้าวเย็นกันที่ห้องนั่งเล่นในชั้นบน
“ทานละนะ-ครับ”
“ทานละนะครับ”
พวกเราพนมมือ นั่งล้อมวงเตรียมกินข้าวเย็นตามธรรมเนียมที่ว่าไปข้างต้นกันอยู่ที่โต๊ะกลม
คุณพ่อใช้ตะเกียบคีบของทอดที่ตั้งใจทำไว้เป็นเครื่องเคียงเข้าปากเป็นอย่างแรก
“โอ้ คาราอาเกะ1นี่อร่อยจริงๆ กรอบ แล้วก็รสชาติดีมากเลยล่ะ ยูคิยะ ฝีมือทำอาหารของแกดีขึ้นอีกแล้วนะ”
[1 唐揚げ(Kara-ake) : ไก่หมักปรุงรสทอด ฮะจิบังมีขาย]
พ่อเอ่ยปากชม หลังจากที่คีบไก่ทอดเข้าปากเพิ่ม
“ก็ใช้เวลาทอดจนมั่นใจว่าสุกดีแล้วน่ะ เพราะถ้าเนื้อไก่ไม่สุกดี จะทำให้อาหารเป็นพิษเอาได้”
เพราะงั้นที่กรอบมากกว่าก่อน เลยน่าจะเป็นผลพลอยได้ล่ะนะ
ส่วนเรื่องเนื้อไก่ที่ไม่สุกดี เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาหารเป็นพิษนั่น เป็นสิ่งที่ยูคิยะได้เรียนรู้มาจากคาบเรียนคหกรรมที่โรงเรียน
“สมเป็นลูกจริงๆ เรื่องพวกนั้นพ่อไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะ一 ”
“ขอบคุณที่ชมนะพ่อ แต่มันเป็นเรื่องยังไงก็ควรจะต้องรู้เอาไว้ เพราะถึงยังไงเราก็ทำงานในร้านอาหารน่ะ”
พ่อที่กำลังยิ้มกริ่มยกขวดเบียร์ขึ้นเทลงในแก้วของตัวเอง
“ฮ้า一 เบียร์เย็นๆหลังเลิกงานนี่มันดีจริงๆ เลยน้า一! ”
หลังจากเห็นความมองโลกในแง่ดีของผู้ชายตรงหน้าแล้ว ก็ถอนหายใจออกมาอีกเฮือก โดยที่ไม่ได้นับว่าวันนี้ทั้งวันถอนหายใจออกมากี่หนต่อกี่หนแล้ว
“นี่ พ่อ…...”
ขณะที่ผมเรียก พ่อผู้กำลังราดน้ำสลัดใส่กะหล่ำซอยอย่างอารมณ์ดีก็เงยหน้าขึ้น
“ทำไมพ่อถึงดูสดชื่นได้ขนาดนั้นล่ะ?”
“ก็ ความสุขนั้นเกิดจากรอยยิ้มที่สดใส ไม่ใช่รึไงเล่า一”
หลังจากคำถามที่ว่า ทำไมประโยคนี้ทำไมมันคุ้นๆ นะ ดังขึ้นมาในหัว
ความทรงจำที่เป็นรูปภาพป้ายสโลแกนของเมือง 「ความสุขนั้นเกิดจากรอยยิ้มที่สดใส 」 ที่แขวนอยู่หน้าศาลาว่าการก็โผล่ขึ้นมาเป็นคำตอบ
ผมยังไม่ละความพยายามง่ายๆ จึงดึงทิศทางของการสนทนากลับไป
“พ่อคิดว่าวันนี้ทั้งวันมีคนเข้าร้านมากี่คนกัน !?”
“ห้าคนล่ะมั้ง ?”
“อย่านับคุณป้าข้างบ้านที่เอาจดหมายเวียนมาส่งสิพ่อ! นับเฉพาะลูกค้าน่ะ! ”
ความกังวลเรื่องนี้วนอยู่ในหัว ตั้งแต่เริ่มนั่งลงกินข้าวเย็นกันเมื่อชั่วโมงก่อน
“อื่มม ลูกค้าเหรอ...”
“สองคน!...แค่สองคนเองนะพ่อ! ยิ่งกว่านั้นสองคนที่ว่าคือ นัตสึมิ กับโทโมโนริ ที่เป็นเพื่อนร่วมชั้นด้วย”
“อาー นั่นสิน้าー”
“ใช่สิพ่อ สถานการณ์แบบนี้ พ่อไม่คิดว่าควรจะกังวลหน่อยเหรอ!? ”
ทั้งที่เป็นวันอาทิตย์ในช่วงโรงเรียนปิดเทอมฤดูหนาว ซ้ำยังเป็นช่วงพีคของการมาเล่นสกีอีกต่างหาก
“นั่นสิน้าー ต้องทำอะไรซักอย่างสินะ….แย่จริงๆ แค่สองคนเหรอ สองคน”
ผู้เป็นพ่อวางตะเกียบลงพลางบ่นพึมพำในลำคอ รู้ว่ามันแย่ที่ไปขัดขวางความสุขของพ่อ แต่มันเป็นสิ่งที่ต้องทำอะไรซักอย่างน่ะ
“โอ้ แต่คุณป้าบ้านฝั่งตรงข้ามมาตอนที่ยูคิยะไม่อยู่นะー เพราะงั้นก็นับเป็นหกคน”
“เอ๊ะ? มาด้วยเหรอ?”
“โอ้ー เอาส้มที่ญาติเธอส่งจากชิโกกุ มาให้น่ะ”
“จริงเหรอพ่อー? ส้มที่คุณป้าบ้านตรงข้ามเอามาให้ทุกปีน่ะเหรอ เท่าที่จำได้ มันอร่อยมากเลยนะ”
“อาー เอามากินเป็นของหวานวันนี้ละกันนะー”
หลังรู้ตัวว่าโดนเบี่ยงประเด็น ก็รีบสะบัดหน้า
ไม่ได้สิ จะโดนล่อลวงเปลี่ยนเรื่องด้วยเรื่องจิ๊บจ๊อยแค่นี้ไม่ได้นะーー
“เอาเถอะ ผมไม่อยากเป็นคนไร้บ้านเอาตอน ม.ต้นหรอกนะพ่อ”
“อย่ามองโลกแง่ร้ายนักสิ”
“คุณพ่อนั่นแหละที่มองโลกแง่ดีเกินไปแล้ว”
ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ความสบายๆ กับไม่ยี่หระกับปัญหาของพ่อเพียงอย่างเดียวหรอก มันมีสิ่งที่เป็นเรื่องคอขาดบาดตายมากกว่านั้น
นั่นคือ มีโรงแรมขนาดใหญ่มาเปิดในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ตั้งแต่เมื่อหกเดือนก่อนต่างหาก
พื้นที่ตั้งของโรงแรมนั้นนับว่าดีมาก ใกล้ทั้งลานสกี และออนเซ็น
ตัวอาคารเป็นตึกระฟ้า สูง 20 ชั้น มีร้านขายของชำร่วย ภัตตาคาร สระว่ายน้ำแบบน้ำอุ่น และสปา มีแม้กระทั่งห้องบอลลูมจัดงานเลี้ยง
ซึ่งถ้าครบวงจรขนาดนั้น การที่ลูกค้าจะถูกดึงตัวไปมันก็เป็นเรื่องที่แน่นอน
ทั้งร้านอาหารและบรรดาเรียวกัง1ในเมืองต่างก็ได้รับผลกระทบไปตามๆ กัน ไม่ต้องพูดถึงร้านอาหารลูกผีลูกคน อย่างร้านของบ้านเราเลย ว่าจะวิกฤติขนาดไหน
[1 旅館(Ryokan) : โรงแรมชั้นสูงแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม ]
ร้านของเราตั้งอยู่บนถนนสายรอง นอกจากที่ไม่มีหน้าร้านติดกับถนนสายหลักแล้ว ยังไม่มีอะไรเป็นเอกลักษณ์ของร้านอีกด้วย เป็นแค่ร้านอาหารบ้านๆ ธรรมดาๆ ที่มีขายแค่ของกินง่ายๆ และของชำร่วยทั่วไปเท่านั้น สำหรับนักท่องเที่ยวในยุคสมัยนี้ที่ชอบร้านสวยๆ เตะตา ของกินแปลกๆ ที่รสชาติแหวกแนวแล้ว การจะดึงบรรดาลูกค้าเข้ามาที่ร้านได้ นับเป็นเรื่องที่ยากทีเดียว
“นะ... มันต้องมีทางไปบ้างแหละน่าー”
พ่อเอ่ยขึ้น พร้อมกับเทเบียร์ใส่แก้วเพิ่ม
กลับมาอีหรอปนี้อีกแล้ว
“วนประโยคเดิมกลับมาอีกแล้ว พ่ออ่ะ…...”
จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีทางออก หรือลู่ทางดีๆ แถมทำให้เครียดเพิ่มขึ้นอีก เลยต้องยอมยกธงขาว
หลังจากที่จบการสนทนาเรื่องเดิมที่เคยพูดคุยไปไม่รู้กี่หน ผมก็ลุกขึ้นเก็บกวาดโต๊ะ แล้วก็กลับไปทำสิ่งที่ต้องทำ อาบน้ำ ทำการบ้าน
ถึงยังไงก็ห้ามลืมเด็ดขาด ว่าเรายังเป็นนักเรียนอยู่
และนั่นคือจบวันไปหนึ่งวัน
ก่อนที่จะล้มตัวลงนอนในห้องของตัวเอง พลางหยิบรูปถ่ายใบหนึ่งขึ้นมาพร้อมกับบ่นงึมงัมกับคนที่อยู่ในรูปในนั้น
“คุณแม่ พรุ่งนี้ผมจะอายุ 14 แล้วนะ ”
ในรูปเป็นคุณพ่อในชุดฤดูหนาว ยืนคู่กับหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังอุ้มเด็กน้อยอยู่กับอก ผู้หญิงในรูปเป็นหญิงสาวหน้าตางดงามใส่กิโมโนสีขาวตัวบาง พร้อมกับใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มอ่อนโยน
ด้วยว่าคุณแม่เป็นคนที่ไม่ชอบถูกถ่ายรูป นี่จึงเป็นสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ ที่เป็นความทรงจำเกี่ยวกับท่าน ไม่มีทั้งรูปถ่ายอื่น หรือวีดีโอใดๆ อื่นเหลืออยู่อีก
แม้จะเป็นรูปถ่ายธรรมดาที่ขอบกระดาษเริ่มเก่าโทรม มีรอยแหว่งบ้างแล้วก็เถอะ
ขณะที่เหงา หรือมีเรื่องเจ็บปวดอะไร ก็มักจะคุยระบายกับรูปถ่ายใบนี้เสมอ
เพราะว่าเป็นสิ่งที่แสดงถึงความเกี่ยวพันของผมกับท่านนี่นะ
เสียงกึ่กๆ จากหน้าต่างกำลังสั่นไหวจากแรงลมหนาวนอกบ้าน
เป็นสัญญาณบ่งบอกว่า คืนนี้หิมะจะตกหนัก
(พรุ่งนี้ต้องตื่นมาโกยหิมะแต่เช้าล่ะนะ)
นี่เป็นห้วงความคิดสุดท้าย ก่อนที่ผมจะเก็บรูปถ่ายแล้วผลอยหลับไป
TL note : วิธีพูดของยูคิยะค่อนข้างหวานนะ แต่ยังใช้โบคุ(ผม) อยู่ lol
ม่านธง (Noren) : http://mmmono.com/g/meow/1076720/
Comments
Post a Comment