001 - ก็ไม่รู้สินะ แต่ดูเหมือนฉันจะเกิดใหม่ที่ต่างโลกล่ะ






“.....ท้องฟ้าสีครามสวยดีจัง”
 
เมื่อฉันลืมตาตื่นขึ้น ก็พบกับท้องฟ้าสีครามกว้าง ฉันลุกขึ้น กวาดตามองไปรอบๆ ก็พบว่ากำลังอยู่ในเทียมม้าพังๆ ที่ประตูและหลังคาหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ พบร่างนอนนิ่งเกลื่อนอยู่รอบตัว ทุกร่างนั้นล้วนสิ้นลมนอนแน่นิ่งหมด ส่วนตัวของฉันนั้น มีแผลหลายแห่ง และเจ็บปวดไปทั้งตัว ฉันชื่อ...เร็น ไม่มีนามสกุล อายุ 10 ปี เพศหญิง และเป็นเด็กกำพร้า แต่...ก็ยังเป็นลูกชายคนที่สามของตระกูลช่างทำทองที่ชื่อ ยูวกิ เรนจูโร่ อีกด้วย

ใช่แล้ว...ท่าทางฉันจะกลับชาติมาเกิด ยิ่งไปกว่านั้นคือ กลับชาติมาเกิดที่ต่างโลกสินะ

เท่าที่จำได้ ฉันคิดว่าฉันน่าจะเคยเป็นวิศวะกรอะไรซักอย่างที่อยู่ในสายงาน R&D* [*Research and Developer]

ทำงานเป็นลูกจ้างของ บ.ใหญ่ ที่เงินเดือนสูงเอาเรื่อง

ตัวฉันในชาติที่แล้วนั้นยังโสด แม้อายุจะพ้นเลขสามไปแล้ว คงเพราะเกือบๆ จะเรียกได้ว่าโอตาคุ และเป็นพวกหื่นจัดจนต้องไปเที่ยวผู้หญิงบ่อยๆ เรียกว่าเป็นคนที่ใช้ชีวิตได้สุดเหวี่ยงคนนึง

ส่วนสิ่งที่ทำให้ตายก็น่าจะเกิดจากตอนที่ทดลองเทคโนโลยีใหม่ตัวนึงจนเกิดอุบัติเหตุ โดนแรงระเบิดลูกใหญ่ ตายแบบไม่ทันได้รู้ตัว

ทั้งที่ตัวโปรโตไทป์นี่เข้าขั้นที่เรียกว่านำไปใช้งานได้จริงแล้วแท้ๆ นับว่าประมาทจริงๆ ที่ดันไปสังเกตุการจากห้องกระจกที่อยู่ติดกัน ถ้าดูผ่านกล้องจากห้องอื่น เรื่องไม่ควรเกิดก็ไม่เกิดขึ้นแล้วแท้ๆ การปฏิบัติตามมาตรการรักษาความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญจริงๆ

มานึกดูแล้ว มีใครซักคนในกลุ่มพูดขึ้นมาว่า ไปสังเกตุการใกล้ๆ กันเถอะ อยากเก็บโมเม้นท์นี้ไว้ แล้วก็ดันไม่เห็นมีใครค้านอะไรซักคำ คงเพราะทุกคนเป็นพวก ‘นักวิทยาศาสตร์บ๊องๆ’ ฉันล่ะไม่เข้าใจจริงๆ

จะอะไรก็ไม่รู้ล่ะ แต่เอาเป็นว่าฉันเคยอาศัยอยู่และตายในอุบัติเหตุ บนโลกที่เรียกว่า ‘ดาวเคราะห์โลก’ เลยมาเกิดใหม่ในโลกนี้ พร้อมกับความทรงจำจากโลกก่อน
แต่ในตอนนี้ฉันคือเร็น อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ ฉันเป็นเด็กกำพร้าที่ไม่มีนามสกุล ซึ่งการที่ชื่อปัจจุบันมีความคาบเกี่ยวกับชื่อเก่า ก็ทำให้แอบรู้สึกดีขึ้นมานิดหนึ่งน่ะนะ

ดูเหมือนว่า ตั้งแต่ที่ระลึกถึงความทรงจำของโลกก่อนตอนที่เป็นผู้ใหญ่ได้ ความคิดอ่านตอนนี้ก็ดูเหมือนจะได้รับอิทธิพลไปโดยปริยาย...แต่ก็ไม่เห็นว่าจะส่อเค้าว่าจะทำให้เกิดปัญหาอะไรนี่นะ งั้นเรื่องนั้นก็เอาไว้ข้างๆ ก่อน

สิ่งสำคัญตอนนี้คือควรที่จะต้องคำนึงถึงสถานการณ์รอบตัวก่อน ตอนนี้ฉันอยู่ด้านล่างของหน้าผาสูง ส่วนสารร่างนี่เรียกได้ว่ายับเยิน แผลเต็มไปหมด ตกลงเกิดอะไรขึ้นแน่นะ ?




……โลกใบนี้เป็นโลกที่คล้ายยุคกลาง สิ่งที่เหมือนสกิลนั้นมีอยู่ ทั้งเวทย์มนต์ก็มี ปิศาจก็ด้วย มันคล้ายกับเกมส์ แนวๆ ที่จะมีมังกรบินบนฟ้าให้เราเห็น โลกแบบที่เรียกได้ว่าเป็นพิมพ์นิยมของโลกแฟนตาซีนั่นแหละ

โลกใบนี้ เด็กๆ ทุกคนที่อายุครบ 5 ปี จะเข้ารับพิธี “ล้างบาปแบบชั่วคราว” ชาวบ้านในหมู่บ้านตามท้องที่ชนบท จะเดินทาง พาลูกหลานไปเข้าพิธีตามโบสถ์ในเมืองที่ใหญ่กว่า เพื่อที่จะได้เห็นค่า สถานะ*หลังจากที่รับพิธีแล้ว
[*Status]

ใช่ ตามนั้นเลย โลกนี้มันเหมือนเกมส์ขนาดนั้นเลยแหละ สุดยอดมาก!

เอาจริงๆก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอกนะ ว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนั้น ในฐานะที่เป็นนักวิจัยเก่า ก็อยากไขปริศนาของกลไกการทำงานของมันให้ได้ซักวันนึง


ถึงจะบอกว่าดูค่าสถานะได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีพาเนลหน้าต่างอะไรเด้งขึ้นมาให้ตาเห็นจริงๆ หรอกนะ เรียกว่ามีรูปภาพลอยอยู่ในหัวเลยมากกว่า

ก็นะ พอก่อน ค่อยว่ากันทีหลัง

เด็กที่รับพิธีล้างบาปแบบชั่วคราวไปแล้ว จะสามารถเข้าถึง ‘สกิลที่ได้รับจากสวรรค์’ ได้

สกิลที่ได้รับจากสวรรค์ เป็นสกิลที่ติดตัวมาแต่กำเนิด แต่จะยังไม่แสดงออกมาจนกว่าจะรับพิธีล้างบาปแบบชั่วคราว ซึ่งหลังจากที่เด็กๆเข้ารับพิธีแล้วก็จะใช้สกิลที่ว่านั่นได้อย่างเต็มที่

แต่ก็นะ...ฉันไม่มีสกิลที่ได้รับจากสวรรค์น่ะ

ต่อจากนั้น หลังจากที่เด็กอายุครบ 10 ปี จะเข้าพิธี ‘ล้างบาปสัมบูรณ์’ อีกรอบ

พิธีนี้ก็ต้องทำในโบสถ์อีกเช่นกัน และก็มีโอกาศที่ใครบางคนอาจจะได้สกิลจากพิธีล้างบาปสัมบูรณ์อยู่ แต่ยากมาก ซึ่งบังเอิญว่าฉันได้น่ะนะ

อย่างไรก็ตามสกิลที่ได้มาตอนนั้นก็ดันเป็นสกิลเจ้าปัญหา

นั่นคือสกิล ประเมินค่า1
[1鑑定]

สกิลเนี้ย มันเอาไว้ใช้วิเคราะห์รายละเอียดของทุกสิ่ง ว่ากันตรงๆ สกิลนี้มันจะมีประโยชน์มากกกกก ในกรณีที่คุณเป็นพ่อ(แม่)ค้าล่ะนะ

เนื่องด้วยสถานรับเลี้ยงเด็กที่ฉันโตมาไม่ใช่ของรัฐ มันเป็นของเอกชน และนายทุนของสถานรับเลี้ยงเป็นพ่อค้าที่รวยมาก ว่ากันตามตรงแล้วน่าจะเรียกว่าที่คุมขังมากกว่า นั่นแหละคือที่อยู่ของเด็กกำพร้าอย่างฉัน

หนักกว่านั้นคือ สิ่งที่ฉันเคยได้ยินมาเกี่ยวกับพ่อค้าผู้มั่งคั่งที่เป็นนายทุนให้กับสถานรับเลี้ยงฯ คนนั้น มีแต่เรื่องความโหดร้าย และความมักมากในกามอย่างร้ายแรง

โคตรสิ้นหวังเลย

ถ้าฉันยังอยู่แบบนี้ คงไม่แคล้วได้กลายเป็นทาส หรืออาจจะแย่กว่านั้น ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ฉันที่เป็นแค่เด็กกำพร้าผอมแห้ง หัวเดียวกระเทียมลีบ และติดหนี้ก้อนโตกับสถานรับเลี้ยงฯ ก็เห็นแต่นรกรออยู่เบื้องหน้า

มองไม่แล้วฉันไม่สามารถทำอะไรกับเรื่องนี้ได้ ในอีกไม่กี่วันก็คงถูกรถม้าที่ตามมาเก็บเอาตัวกลับไปส่งที่เมือง โดยมีเจ้าพ่อค้าหื่นกามนั่นรออยู่

พวกเรากำลังเดินทางจากเมืองที่สถานรับเลี้ยงฯ ตั้ง ไปยังอีกเมืองใหญ่ที่เจ้าพ่อค้านั่นอยู่ การเดินทางมีสองทาง คือเลาะเลียบไปตามทางภูเขา และป่า หรือเลือกเดินทางอ้อมไปทางที่ไกลกว่าแต่ปลอดภัย ซึ่งแน่นอน เจ้าพ่อค้าขี้ตืดนั่นเลือกให้ขบวนรถเดินทางตัดผ่านภูเขาเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย

ซึ่งพลาดถนัด เพราะขบวนดันเจอะเข้ากับโจรภูเขา ซ้ำร้ายคนขับเทียมม้าดันโง่ ดันทุรังเร่งความเร็ว พุ่งขบวนรถหวังจะฝ่าหนีวงล้อมของโจรภูเขา โจรก็โง่พอกัน ยิงธนูใส่ม้า ลงเอยที่ขบวนรถทั้งหมด พุ่งลงหน้าผา

“เจ็บขาจัง....”

ฉันมองไปรอบๆ เทียมม้า

เห็นผู้คนที่เดินทางมาด้วยกันหลายวัน นอนแน่นิ่ง ทุกคนเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด และคอที่บิดหันผิดทิศผิดทาง

.......เคราะห์ดี ที่ฉันติดนิสัยชอบขดตัว ซุกหน้าหลบเข้าไปตรงหว่างเข่า เวลาที่เจ็บหรือหวาดกลัว คอเลยไม่หัก รอดจากการที่เทียมม้าพุ่งลงมาจากหน้าผามาได้ แต่ก็แลกมาด้วยการที่มีแผลเต็มตัวล่ะนะ

ถ้าถามว่าทำไมฉันถึงติดนิสัยชอบเก็บคองอเข่าน่ะเหรอ ? ตอบได้ง่ายมาก ฉันมักเป็นเป้าของการบุลลี่ของพวกเด็กผู้ชายในสถานรับเลี้ยงฯ น่ะสิ เนื่องด้วยฉันเป็นคนตัวสูงใหญ่ เลยอาจจะแลดูน่ารำคาญ เลยกลายเป็นเป้าเอา แต่ก็นับว่าดีที่ฉันรอดมาได้เพราะแบบนั้น

ฉันพยายามคลานออกมาจากเทียมม้าอย่างทุลักทุเล เพราะขาพลิกตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ตัวก็เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ สถานการณ์ตอนนี้ ทำยังไงก็สงบใจไม่ได้เลย

เอาล่ะ...เอาไงต่อดี ?  

Comments